'ณัฐ สารสาส' หนุ่มนักคิดที่เจ๋งมากกว่าความเป็นเพลย์บอยไฮโซ


ครั้งแรกที่ทุกคนรู้จักชื่อของ “ณัฐ สารสาส” อาจจะเป็นชื่อเสียงที่ดูแปร่งๆ ไปหน่อย เพราะเขาเริ่มมาจากข่าวรักๆ เลิกๆ กับดาราสาวคนหนึ่ง “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร!!” แม้ภายนอกที่เราเห็นเขาอาจเป็นผู้ชายที่มีข่าวกับสาวๆ คนโน้นคนนี้เสมอ หากแต่เมื่อได้คุยกับเขาแล้วกลับรู้สึกอยากเปลี่ยนมุมในการมองผู้ชายคนนี้ไปเลยทีเดียว เพราะเขาเป็นอีกคนที่มีความคิดและการใช้ชีวิตที่น่าสนใจไม่ใช่แค่เก๊กไฮโซไปวันๆ
    
       คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้เท่าไหร่นักว่า “ณัฐ สารสาส” ทำอะไร รู้แค่ว่าเป็นไฮโซ มีข่าวกับดารา ทำโรงแรม แต่งตัวเยอะ เดินทางบ่อย แต่ความจริงแล้วผู้ชายวัย 32 คนนี้มีอะไรให้เราค้นหามากกว่าเป็นเพียงผู้ชายมีสไตล์ “นัท สารสาส” หรือ “ณัฐพล สารสาส” ลูกชายคนโตของนักธุรกิจชื่อดัง “ชินเวช สารสาส” เขาเริ่มเข้ามาดูธุรกิจของครอบครัวในหลายๆ บริษัทเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นเขาได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการลองผิดลองถูกของตัวเอง

“หลังจากจบด้านไฟแนนซ์มา ผมกลับมาเมืองไทยก็ทำออร์แกไนเซอร์กับเพื่อน ตามสไตล์เด็กๆ ที่คิดว่าอยากจะลองหาเงินกันเอง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ลองผิดลองถูกมาเยอะ เรียนรู้เก็บประสบการณ์มา จนเมื่อมาทำงานกับคุณพ่อเราก็ยิ่งได้เรียนรู้และทำงานอย่างมืออาชีพยิ่งขึ้น โดยตอนนี้ผมดูแลทั้งหมด 4 บริษัทของครอบครัว และอีก 2 บริษัทของตัวเอง
    
       ของครอบครัวอันแรกคือซิกส์เซนต์ ไฮอะเวย์ ยาวน้อย ที่ทำมาเป็นปีที่ 3 ซึ่งก็เริ่มอยู่ตัวแล้ว และก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นตึกออฟฟิศให้เช่าชื่อ “ศาลา @สาธร” สองที่นี้ผมดูเรื่องภาพรวมทั้งหมด แล้วก็มีอีก 2 บริษัท ที่กำลังเติบโตได้ดีคือ บริษัท เจนเนอร์รัลเอาต์ซอสซิ่ง เป็นบริษัทรับบริหารเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานของบริษัทที่มาว่าจ้างให้เราดูแลให้ เรื่องเงินเดือนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดกัน เพราะว่าต้องมีเรื่องเรื่องภาษีเงินได้ สวัสดิการ โอที ซึ่งเขาจะสะดวกมากหากเขามาจ้างเรา แล้วก็มีบริษัท จี แคปิตอล ที่บริษัทผมร่วมทุนกับธนาคารออมสิน ปล่อยสินเชื่อให้กับเครื่องจักรกลการเกษตร ให้ความช่วยเหลือกับเกษตรกร 
    
       ส่วนที่เป็นธุรกิจของตัวเองกับเพื่อนก็จะมีบริษัท U-Dox เป็นบริษัทเกี่ยวกับการพัฒนาแบรนด์ และบริษัทGonefarBeyond ที่เป็นบริษัทกึ่งมูลนิธิจัดตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนเกี่ยวกับแฟชั่น ดนตรี ศิลปะ ซึ่งก็จะมีการจัดงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้วย เช่น ไนกี้ อาดิดาส จี-ช็อก”
    
       ไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับความรับผิดชอบของเขา ยิ่งในยุคที่การทำธุรกิจเต็มไปด้วยการแข่งขันและความเสี่ยง ยิ่งทำให้ต้องอะเลิร์ตและต้องกระตุ้นแรงขับเคลื่อนในการทำงานตลอดเวลา...

:: คอนเนกชั่นและการเดินทางสร้างแรงขับเคลื่อน
    
       การสร้างแรงขับเคลื่อนหนึ่งที่เขามักต้องแสวงหามาใส่ตัวอยู่เสมอก็คือการเดินทาง ทำให้เขาต้องเดินทางบ่อยๆ เพื่อสร้างสรรค์แรงบันดาลใจในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพราะคำว่า “ความคิดสร้างสรรค์” ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องศิลปะอย่างเดียว หากแต่นำมาสร้างสรรค์ในเชิงบริหารหรือเชิงการเงินก็ได้เช่นกัน
    
       “ผมเดินทางปีละประมาณ 4-5 ครั้งเพื่อไปศึกษา ไปหาไอเดีย แม้เราจะไม่ได้ทำธุรกิจกับต่างประเทศแต่ผมจะได้แรงบันดาลใจจากการเดินทาง เมื่อพลังในความคิดสร้างสรรค์เริ่มหมด ผมก็จะไป เช่น เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งไปกับคุณพ่อมา เราไปรัสเซีย มอสโคว์ เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลอนดอน ปารีส ซึ่งเป็นการเดินทางใหญ่ครั้งที่ 3 ของปีแล้ว ไปเพื่อหาแรงบันดาลใจ และบางทีเราก็จะไปเยี่ยมเพื่อนบ้าง ไปเจอผู้ร่วมลงทุนบ้าง 
    
       อีกสิ่งที่สร้างแรงกระตุ้นให้กับผมมากก็คือการพบปะผู้คน แม้ผมจะเรียนด้านไฟแนนซ์มาแต่ว่าผมมีพื้นฐานและมีเพื่อนที่อยู่ในวงการดนตรี ศิลปะและแฟชั่น ผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ มีเพื่อนทุกวงการ มีทั้งเพื่อนที่เป็นมหาเศรษฐี เป็นดาราระดับโลก เป็นดีไซเนอร์ระดับโลก เป็น CEO ซึ่งคอนเนกชั่นเหล่านี้มาจากครอบครัวบ้าง จากเพื่อนๆ บ้าง บุญพาวาสนาส่งบ้าง บางทีได้พบพูดคุยกันถูกคอ ที่จริงตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร แต่ที่บ้านสอนว่าให้เราดีกับทุกคน ดีให้เท่าเทียม ดีอย่างไม่หวังผลตอบแทน ผมดีกับคนทุกระดับชั้น เพราะผมมองว่าบางคนมีดีกว่าเราตั้งเยอะ แต่เขาอาจไม่แสดงมา แล้ววันนี้ก็ตอบแล้วว่าการที่เราทำดีกับทุกคนโดยไม่หวังผลตอบแทน ความดีก็จะยังคงอยู่และจะตอบแทนเรามาเองในสักวัน”
      


       :: ลูกชายของพ่อ
    
       จากการนั่งคุยกันจนเริ่มคุ้นเคย เรารู้สึกว่าหลายๆ อย่างที่หล่อหลอมให้เป็น “ณัฐ สารสาส” ในวันนี้มาจากคุณพ่อและการเลี้ยงดูจากครอบครัวของเขา ให้เป็นคนที่มีไอเดียในการใช้ชีวิตในแบบที่สร้างสรรค์ต่างจากคนอื่น
    
       “ตอนเด็กผมเรียนที่สวิสเป็นโรงเรียนนานาชาติที่มี 150 ชาติ ผมจะเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมและผู้คนที่หลากหลายมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และคุณพ่อก็สอนให้เราโตมาเป็นฟองน้ำ ซึมซับหมดทุกอย่าง ผมไม่มีอคติ ไม่มองว่าอะไรไม่ดี ทุกอย่างดีหมด แล้วค่อยมาคัดกรองว่าเราชอบอะไร อันไหนที่เป็นเราที่สุด
    
       ตั้งแต่เด็กคุณพ่อจะเป็นคนที่สนับสนุนและผลักดันเรื่องความรู้มาก ถ้าผมอยากอ่านหนังสือเล่มไหนก็ซื้อเลย ไม่เคยมีข้อจำกัด แล้วคุณพ่อก็จะเป็นคนที่ใฝ่หาความรู้มาก เราจะพูดคุยกันทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา และผมชอบการเดินทางทุกครั้งที่ไปกับพ่อเพราะเราจะศึกษาประวัติศาสตร์ไปด้วยกัน
    
       ส่วนในเรื่องของธุรกิจนั้นในช่วงแรกคุณพ่อให้ลองทำเอง ผมก็โดนหลอกมาเยอะ ไม่เข้าใจ ทำผิด ทำถูก ล้มไม่รู้กี่ครั้ง พลาดก็ลุกขึ้นมาได้ คุณพ่อบอกว่าไม่สำคัญหรอกว่าจะล้มกี่ครั้ง แต่ขอให้ลุกให้ได้และทำดีกว่าครั้งเดิม ผมโชคดีที่มีคุณพ่อเป็นแบ็กอยู่ตลอด คุณพ่อยังเน้นอีกว่า เมื่อเราเอาความรู้ความสามารถมาหาเงินได้แล้วก็ต้องเอาเงินนั้นให้คนที่ไม่มีโอกาสด้วย”
    
       ทุกครั้งที่เขาพูดถึงพ่อ เหมือนจะเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นและพร้อมจะเก็บเกี่ยวข้อคิดดีๆ จากคำสอนนั้นมาใช้ตลอดเวลา...



 :: ผู้ชายคลาสสิคที่ชื่อ “ณัฐ สารสาส”
    
       ภาพที่เราเห็นนั้นณัฐเป็นผู้ชายวัย 30 ต้นๆ ที่มีลุคสะดุดตา มีแนวแฟชั่นที่เป็นตัวของตัวเอง จนบางครั้งรู้สึกเหมือนถูกสะกิดต่อมอยากถามให้เข้าใจถึงสไตล์ของเขาว่าทำไมเป็นเช่นนี้!?
    
       “ลุคปัจจุบันที่คนเห็นไม่ได้มีผลกระทบกับเรื่องงาน เพราะผมไม่ได้ดีลงานกับผู้ใหญ่ หรือคนที่เราติดต่องานด้วยเขารู้จักเราและเข้าใจว่าเราทำงานได้ เราไม่ต้องใส่สูท ผูกเนกไท ในเรื่องสไตล์ที่เป็นผมทุกวันนี้เกิดจากการเดินทางและพบเจอคน ผมเจอคนทุกระดับจนผมรู้ว่าต้องเป็นอย่างไรที่จะสามารถเข้ากับทุกคนได้ การแต่งตัวของผม คือ ไม่ได้แต่งตัวให้เป็นจุดเด่น แต่ผมแต่งตัวให้คนเห็นแล้วสบายใจวิธีการของผมคือ ผมจะคิดก่อนว่าผมจะไปที่ไหน พบใคร ส่วนใหญ่แล้วผมชอบอ่านหนังสือและดูหนังเก่าๆ สไตล์เราจึงออกมาเป็นแนวเหล่านั้น ผมเคยคิดว่าพอโตขึ้นผมอยากเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษคือการที่ทำให้คนรอบข้างสบาย เช่น เปิดประตูให้ รอให้ผู้หญิงเดินก่อนผมมองว่าการเป็นสุภาพบุรุษในสมัยก่อนมันดีเหลือเกิน แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่มี ผมเลยรู้สึกว่าอยากคงสิ่งที่ดีอยู่ ก็เลยหยิบมาเป็นคาแรกเตอร์ ฉะนั้น สไตล์การแต่งตัวของผมก็เลยออกเป็นแนว Gentleman 
    
       สไตล์ที่ผมชอบจริงๆ คือ จอนนี่ เด็บป์ ยิ่งในเรื่อง Public Enemy นี่ชอบมาก อย่างตอนนั้นวันเกิดคุณย่า ผมแต่งตัวสไตล์สุภาพบุรุษเลย ครบเป๊ะทั้งสูท ไท พวกผู้ใหญ่ท่านก็จะชอบมาก ผมขอเรียกว่าผมเป็นแนวคลาสสิกละกัน คำว่า คลาสสิก คือ ไม่มีเวลา พอไม่มีเวลาก็อยู่ตลอดไป แล้วก็ไม่ต้องไปตามใคร
    
       เราไม่ต้องไปแฟชั่นอะไรมากมาย รู้ไว้ว่าเมื่อมีคำว่า “แฟชั่น” ก็จะมีคำว่า “ไม่แฟชั่น” แล้วอะไรที่เป็น “แฟชั่น” วันหนึ่งก็จะ “ไม่แฟชั่น” แฟชั่นผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ขั้นกว่านั้นคือ “สไตล์” ซึ่งสไตล์คือสิ่งที่จะอยู่กับเราไม่ว่าแฟชั่น เทรนด์จะเป็นอย่างไร แต่สไตล์ของเราก็จะคงอยู่กับเรา
    
       ส่วนการซื้อเสื้อผ้านั้น ผมจะซื้อเสื้อจากบริษัทที่เขาทำเสื้อเชิ้ต ซื้อกางเกงจากบริษัทที่ทำกางเกง ซื้อรองเท้าจากบริษัทที่เขาทำรองเท้าเพราะผมมั่นใจว่าบริษัทที่เขามีตำนาน เขาเก่งเฉพาะทางทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ นอกนั้นก็มีบ้างที่ชอบซื้อของพวกแนววินเทจเพราะผมชอบความคลาสสิก”
    
       สำหรับความฝันของเขานั้นไม่ได้พูดให้ดูหล่อๆ แต่อย่างไร เขาบอกกับเราว่า ทุกอย่างที่ทำไปความหวังสูงสุดคือทำเพื่อสังคม!
    
       “ผมเชื่อว่าหากเรามีความสามารถ เราก็จะสามารถทำอะไรที่ทำเงินได้ และผมหวังว่าตัวเงินที่สร้างมาได้นั้นไม่ว่าจะจำนวนเท่าไหร่ ผมอยากจะกลับคืนสู่สังคม เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีอะไรยั่งยืน ผมถือว่าผมโชคดีที่มีโอกาส ผมก็อยากแบ่งโอกาสให้คนอื่นบ้าง แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ในวันนี้ เพราะรอให้ต้นไม้แข็งแรงมีรากฐานที่แข็งแรงเสียก่อน แต่ก็ต้องมีสักวันที่ผมจะได้ตอบแทนสังคมอย่างจริงจัง”

5 Q & A จากณัฐ สารสาส
    
       สิ่งที่ณัฐเป็น?
       “ผมมีคาแรกเตอร์ที่หลากหลาย เป็นกันทุกคนแหละ แต่ผมเข้าใจในอารมณ์ของตัวเอง ไม่ติสต์แตก ผมเคยทำทดสอบความติสต์กับความเป็นหลักเป็นผลนะ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเอนเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งฝั่งหนึ่ง แต่ผมอยู่ตรงกลาง ผมคิดว่าเรามีความคิดสร้างสรรค์ได้ แต่ก็ต้องมีเหตุผลมาคานกัน”
    
       สิ่งที่ณัฐชอบทำ?
       “ตอนนี้ชอบไปชนบท ผมไม่ชอบความจอแจ บางครั้งก็จะขับรถไปตามชานเมืองไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งผมมองว่าเพื่อนรุ่นๆ เดียวกันบางคนก็ยังอยากไปเดินพารากอน อยากไปดูสาวที่ฟังกี้ วิลล่า ซึ่งผมหมดความสนใจพวกนั้นไปแล้ว การพักผ่อนจริงๆ ส่วนมากจะอยู่บ้าน เล่นกับหมา อ่านหนังสือ หรือเลิกงานก็นั่งทานข้าวพูดคุยกับเพื่อนเท่านั้น”
    
       คิดว่าณัฐแปลกมั๊ย?
       “ทุกครั้งที่ผมไปที่ไหนด้วยความที่ผมเป็นคนสนุกสนาน และผมสร้างความสนุกสนานได้ ทำให้กลายเป็นจุดสนใจ ทั้งที่ผมไม่ได้ตั้งใจให้เด่นนะ แต่มันเด่นเอง หากตั้งใจให้เด่นผมคงแต่งตัวสีฉูดฉาดแล้ว! คนชอบมองว่าผมแต่งตัวแปลก ในสังคมไทยอาจนิยมใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืด แต่ผมไม่ได้แต่งแบบนั้น ผมแต่งแนวคลาสสิก ย้อนยุคนิดๆ ผมว่าคุณพ่อคุณ คุณลุงคุณก็เคยแต่งกัน แต่ผมว่าไม่เห็นแปลกเลย
       ผมมองคนมองที่ภายในมากกว่า ผมชอบแต่งตัวเพราะนั่นเป็นแรงบันดาลใจของผม ผมไม่ต้องขับรถไปอวดสาว ผมว่าถ้าเขาจะชอบผมก็ต้องชอบที่ผมที่ใจมากกว่า ผมไม่เคยซื้อของขวัญแพงๆ ให้ผู้หญิงเพื่อที่จะมัดใจเขา”
    
       กับข่าวค (ร) าวต่างๆ ที่เกิดขึ้นณัฐรู้สึกอย่างไร?
       “ทุกครั้งที่มีข่าวไม่รู้สึกอะไรนะ ไม่ร้อนรน ไม่อะไรทั้งนั้น ผมเข้าใจข่าวตรงนี้ไปแล้ว ผมอยู่ในเจนเนอเรชั่นของข่าวกอสซิปรุ่นแรก เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว แล้วเรื่องตอนนั้นก็มีคนอยากรู้เยอะด้วย แม้จะมีข่าวมาเรื่อยๆ ผมก็ชินไปแล้ว ดีด้วยซ้ำยังมีคนสนใจเรา (หัวเราะ)”
    
       ความแตกต่างสุดขั้วในตัวณัฐ?
       “ถึงแม้สไตล์ผมจะคลาสสิกแต่ผมก็อยู่กับเทคโนโลยีได้แล้วผมชอบเทคโนโลยีสุดๆ เลยด้วย ในขณะเดียวกันก็ชอบธรรมชาติด้วย ผมใช้ชีวิตได้ทุกรูปแบบกินได้ทุกแบบตั้งแต่ร้านอาหารระดับ 5 ดาว หรือร้านลาบข้างถนน” :: 

Credit : manager

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น