ณกรณ์ กรณ์หิรัญ มหาเศรษฐีผู้ไม่อยู่นิ่ง


กระแสมหาเศรษฐีอายุน้อย (Young Millionaire) กำลังเป็นเทรนด์ร้อนแรงทั่วโลก ด้วยหากลองหยิบทำเนียบมหาเศรษฐีประเทศต่าง ๆ ขึ้นมาดูจะเริ่มเห็นกลุ่มยังบลัดผุดขึ้นมาไม่น้อยเมืองไทยเองก็เช่นกัน ถ้าไม่นับนามสกุลระดับเจ้าสัวแล้ว ชื่อของ "ณกรณ์ กรณ์หิรัญ" กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นนามหนึ่งที่ฉายแววเด่นอย่างน่าจับตาณกรณ์ในวัย 35 ปี คือหนึ่งในหุ้นส่วนคลินิกความงาม "วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก" ที่นำพาธุรกิจให้ก้าวสู่หลักหลายพันล้านภายในเวลา 11 ปี แผ่ขยายอาณาจักรมากถึง 100 กว่า สาขา และจะมุ่งสู่ 115 สาขาทั่วประเทศในสิ้นปีนี้ รวมถึงยังไปโตในลาวอีก 3 สาขา ซึ่งจะขยายเป็น 5 สาขาในสิ้นปีเช่นกันช่วงที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนี้กลายเป็นดาวเด่นที่เนื้อหอมที่สุด ทั้งมีคิวเดินสายบรรยายความสำเร็จ เปิดตัวให้สัมภาษณ์ในฐานะนักธุรกิจ และนักธุรกิจกึ่งดาราที่มีข่าวคราวมากที่สุด คนหนึ่ง

"วุฒิ-ศักดิ์ ดังอย่างไร ผู้บริหารก็ดังแบบนั้นแหละ (หัวเราะ) ผมพยายาม พี.อาร์.ตัวเองนิดหนึ่ง เราอยู่มา 11 ปี ตอนนี้กฎหมายแพทย์เปลี่ยน เราต้องใช้ผู้บริหารออกหน้า เลย พี.อาร์.เต็มที่ ธรรมดานะหรือ ? จะอยู่หลังฉากกันหมด"...เรื่องข่าวแนวกอสซิปผมไม่คิดว่าต้องซีเรียสนะ คือเราต้องเข้าใจเนเจอร์ของวงการ ซึ่งมีสองอย่าง ถ้าในฐานะนักธุรกิจอย่างเดียว คนจะไม่ พี.อาร์.ให้เรา แต่ถ้ารู้จักในนามกึ่งดาราข่าวจะมีทั้งลบและบวก เป็นกระแสเท่านั้นเอง คิดในทางที่ดี แสดงว่าหน้าตาเรายังขายได้ (ยิ้ม)


ความหล่อสไตล์หนุ่มเกาหลีของเขาอาจไม่น่าสนใจเลย หากธุรกิจที่เขาปลุกปั้นไม่ได้มีการเติบโตถึงระดับหลายพันล้าน

"เราโตมาจากธุรกิจเล็ก ๆ เลยทำอะไรอย่างรอบคอบเสมอ อย่างตึกนี้ (อาคารสำนักงานแถวแคราย) เราเพิ่งสร้าง ที่ดิน ซื้อไว้สองปีแล้วกู้มา 70 ล้านบาท แต่ระหว่างการสร้างตึกยังไม่ทันเสร็จ เมษายนที่ผ่านมาเราก็ตัดหมดเลย"...เราโชคดีที่ปีก่อน ได้เห็นวิกฤตว่าเป็นอย่างไร ผมชอบจดจำประสบการณ์ของตนเอง และคนอื่น ตอนนั้นผมอายุ 21 ผมเล่นหุ้น เมื่อก่อนรายได้ดี หุ้นขึ้นทีร้อยจุด แต่พอวิกฤต เงินเราหายหมดเลย เหลือ 1 สตางค์ ล้มระเนระนาด ซึ่งเป็นบทเรียนที่ผมจำไม่ลืม และทำให้ผมต้องรอบคอบทุกอย่าง"ผมเป็นคนสนใจตัวเลข ชอบทุกอาชีพที่ทำแล้วแฮปปี้ ตอนเศรษฐกิจตกผมไม่มีเงิน เคยขายลูกชิ้นริมถนนมาแล้ว จากนั้นก็เป็นเซลส์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า หาช่องว่างทำกำไรเยอะ ๆ ด้วยการขายเงินผ่อน จากร้านเล็ก ๆ ไม่มีหน้าร้าน ก็เริ่มเช่าตึกแถว มีเงินก็ไปซื้อโฆษณา 2,000 กว่าบาทลงหนังสือพิมพ์รายวัน คนโทร.มาเยอะมาก ช่วงนั้นผมอายุ 22-23 ปี ทำธุรกิจได้กำไรเดือนละหลายแสน เป็นช่วงตั้งตัวของผมเลยนะ"


และในช่วงตั้งตัวนี่เองที่ทำให้ธุรกิจที่ชื่อ วุฒิ-ศักดิ์ คลินิกเกิดขึ้น โดยเริ่มลงทุนจากเงิน 5 แสนบาท กับ 3 หุ้นส่วน (คุณหมอ, สถาปนิก และนักธุรกิจ)

"ผมไปกินข้าวกับเพื่อน คนหนึ่งเป็นหมอ (น.พ.วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช) อีกคนเป็นสถาปนิก (พลภัทร จันทรวิเมลือง) คนเป็นสถาปนิกไม่กล้าลงทุนทำธุรกิจ แต่เรามีสายเลือดนักธุรกิจตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ทุกอย่างไม่มีคำว่ากลัว เราคิดว่า...ลอง เล่น ๆ ก็แล้วกัน ทำสัก 5 แสน ลงทุนก่อนไปจดชื่อบริษัท โดย ชื่อ วุฒิ-ศักดิ์ ซึ่งเป็นชื่อคุณหมอ โดยชื่อเราต้องมีขีดด้วย เพื่อป้องกันการเกิดมีหมอชื่อซ้ำกัน"...เปิดร้านเสร็จ ตอนแรกคิดว่าปีหนึ่งน่าจะเปิดสัก 2 สาขา พอเปิดร้านได้เดือนครึ่งจึงต้องหาสาขาสอง ตอนนั้นเงินมีไม่มาก แต่มองทำเลแถวปิ่นเกล้า เรายอมจ่ายมัดจำเยอะมาก แถมต้องมีเงื่อนไขเปิดร้านภายใน 7 วัน หุ้นส่วนบอกเป็นไปไม่ได้ แต่เราบอกเป็นไปได้ แล้วก็เป็นไปได้จริงๆ

หลังจากนั้น วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก ภายใต้การนำทัพของเขาจึงเริ่มขยายตัวอย่างพุ่งทะยาน

"ผมไม่ได้คิดว่าต้องมีถึง 100 กว่าสาขาอย่างทุกวันนี้นะ ผมคิดแค่ว่าทำไปเรื่อย ๆ หุ้นส่วนผมจะหยุดตั้งแต่ 10 กว่าสาขาแล้ว แต่ผมดันให้เปิดต่อ ผมแนะให้ปรับระบบให้มีบอร์ดหมอ มีอาจารย์หมอมาเทรน จากนั้นจัดระบบให้สถาปนิก ส่วนผมดูภาพรวม ดูการเงิน อย่างบัตรเครดิตผมเป็นเจ้าแรกที่ผ่อน 0 เปอร์เซ็นต์"ความเป็นคนไม่หยุดนิ่งของณกรณ์ทำให้เขาขยันหาอาหารสมองมาเสริมเพิ่มเติมให้กับตัวเอง...ชีวิตผมเรียนได้แค่ปีสาม แล้วผมไม่ได้เรียนต่อ หลังจากที่บ้านมีปัญหาการเงิน ผมอาศัยเอาความรู้ที่เรียนด้านการเงินมาใช้ แล้วสังเกตจากสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตลาด การเงิน อ่านหนังสือพิมพ์ สังเกตจากธุรกิจ อย่างป้ายสวย ๆ เราจะสังเกตแล้วเปรียบเทียบ ธุรกิจไหนมาแรง จะนำมาวิเคราะห์เรื่องคีย์ซักเซส อย่างกินอาหารที่ฟูจิ เราเห็นว่าทำไมเขามีห้องไพรเวต แล้วทำไมห้องทำหน้าของเราจะไพรเวตบ้างไม่ได้ ผมชอบตั้งคำถามเสมอว่า ทำไม ?

"ผมคิดว่าทุกอย่างเป็นการลอง มีพลาดบ้างเหมือนกัน(หัวเราะ) ไม่มีใครหรอกที่ทำร้อยอย่าง ถูกร้อยอย่าง อย่าไปคิดว่าพลาดแล้วอย่าทำอีก!ต้องคิดว่าพลาดแล้วเป็นครู ถ้ารู้สึกพลาดต้องถามตัวเองว่าผิดพลาดอย่างไรเพื่อหาทางแก้ให้ได้"
บทเรียนนอกห้องจึงกลายเป็นคีย์ซักเซสของเขาในการทำธุรกิจพันล้าน !

"ผมจะศึกษาแต่ละคนที่มีธุรกิจหลักพันล้านตลอดนะ ศึกษาจนพบว่าคนเหล่านี้มีนิสัยเหมือนกันคือ แต่ละคนจะไม่อยู่นิ่ง ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้เงิน แต่เขาสนุกกับงานมากกว่า ประกอบกับผมเองเป็นคนไฮเปอร์ อยู่นิ่ง ๆ ทำงานแบบรูทีนไม่ได้เลย ผมจึงคิดอะไรใหม่ ๆ ทุกเดือน ตัวเราไม่เคยเหนื่อย แต่รอบตัวเราเหนื่อย (หัวเราะ) ยิ่งพอเจอปัญหา เราต้องแก้ปัญหา และเราพยายามคิดเสมอว่า ถ้าเป็นคลินิกอื่นที่คิดจะชนเรา เขาจะชนเราด้วยอะไร เราก็พยายามอุดช่องว่างนั้นให้หมด"
...ถ้าเราอยู่นิ่ง เราก็ช้ากว่าชาวบ้านแล้ว !

"อย่างเรื่องหมอที่เป็นบุคลากรสำคัญ เราใช้วิธีการดึงจากอเมริกันบอร์ดมาสอนในเมืองไทย คอร์สละ 30 คน คนละ 2-3 แสนกว่า เราจ่ายครึ่งหนึ่งให้ เท่านี้หมอไม่ออก เราต้องหาช่องว่างให้เจอแล้วอุดมัน ว่าไปธุรกิจผมเริ่มจากความกลัวเหมือนกันนะ แต่ความกลัวของผม ผมกลัวแบบไม่หนี ผมจะรู้ว่าผมกลัวอะไร ยอมรับว่าองค์กรใหญ่ขึ้นแล้ว ถ้าเรามัวแต่นั่งโต๊ะทุกวัน เราจะมองไม่เห็นปัญหาผมอยู่โต๊ะทำงานจริง ๆ แค่ 2 วันต่อสัปดาห์ นอกนั้นออกไปต่างจังหวัด ไปหาไอเดียใหม่ ๆ"

...ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีวันนี้ หรือธุรกิจต้องกำไรเท่านี้ ๆ ถึงจะมีความสุข ผมแค่คิดว่า เราทำธุรกิจแบบประคองให้อยู่ได้ และเป็นเบอร์หนึ่งให้ได้ก็พอ"ความสุขของเขาจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของธุรกิจหลายพันล้าน แต่อยู่ที่การไม่เคยหยุดคิด ไม่เคยหยุดนิ่ง"ชีวิตผมมีแต่เรื่องงาน บางคนบอกว่า คนเราต้องคิด สามอย่าง การงาน ครอบครัว ความรัก แต่โมเดลผม เน้นเรื่องงานซะเยอะ ครอบครัวก็มีให้อยู่แล้ว ส่วนความรักใช้เหตุผล ไม่ได้ เจ๊งทุกที เลยไม่คาดหวัง แต่ผมก็มีวันพักผ่อนนะ นั่นคือการ ไปพักผ่อนที่เชียงใหม่ ใช้ชีวิตสบาย ๆ ใส่กางเกงยีน เสื้อยืด ขับรถสปอร์ตเที่ยวเล่นไปดูที่ดินเพื่อซื้อเก็บ หรือตระเวนทำบุญตามวัดต่าง ๆ ให้สบายใจ"

Credit :  ประชาชาติธุรกิจ

ต๊อบ อิทธิพัฒน์ เจ้าของเถ้าแก่น้อย



ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เศรษฐีร้อยล้านคนนี้ ก่อนหน้านี้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่สนใจเรียน ชีวิตของ ต๊อบ มีแต่คำว่า "เกม" เท่านั้น โดยต๊อบเริ่มเล่นเกมออนไลน์ Everquest มาตั้งแต่ ม.4 ถึงขนาดสะสมแต้มจนรวยที่สุดในเซิร์ฟเวอร์ และกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกมดังกล่าว จนมีฝรั่งมาขอซื้อไอเท็มเด็ด ๆ ไอเท็มเจ๋ง ๆ ที่หายากในเกมจากเขา และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นสร้างรายได้ของต๊อบ ซึ่งการซื้อขายไอเท็มเกมดังกล่าว บวกกับการที่เป็นผู้ทดสอบระบบเกมในฐานะคนเล่น ก็สร้างรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำ จนมีเงินเก็บเป็นหลักแสนบาทเลยทีเดียว
        
        ด้วยความที่เป็นเด็กติดเกม ต๊อบ อิทธิพัทธ์ จึงเรียนจบชั้นระดับมัธยมมาได้อย่างยากลำบาก และเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งตอนนั้นนั่นเองเขาก็เริ่มก้าวเข้าสู่ถนนแห่งเส้นทางธุรกิจ พร้อมตั้งใจจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงด้วยการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง


และในช่วงจังหวะที่เกมออนไลน์เริ่มไม่เป็นที่นิยมเหมือนเคย เขาก็หารายได้จากช่องทางอื่น ทั้งขายเครื่องเล่นวีซีดี ดูทำเลเปิดร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเขาได้ไปเดินงานแฟร์ช่องทางธุรกิจ ซึ่งในงานนั้นมีเฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่นมาออกบู๊ท ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบกินเกาลัดอยู่แล้ว เลยสนใจธุรกิจนี้เป็นพิเศษ จึงเข้าไปสอบถามค่าเฟรนไชส์เกาลัดดังกล่าว แต่ทว่าราคาสูงเกินกำลังที่เขามี เลยขอแค่เช่าตู้คั่วเกาลัดเท่านั้น แล้วมาสร้างเฟรนไชส์เป็นของตัวเอง และเมื่อวันที่เขาต้องไปเซ็นสัญญาซื้อขายเกาลัดที่ห้างแห่งหนึ่ง ก่อนออกจากบ้านเขาได้ยินคุณพ่อพูดกับเพื่อนว่า "ลูกอั้วกำลังจะเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว" คำว่าเถ้าแก่น้อยที่ได้ยินตอนนั้นนั่นเอง ที่เป็นที่มาของชื่อ "เถ้าแก่น้อย" สาหร่ายทอดกรอบในปัจจุบัน

        เศรษฐีร้อยล้าน ได้ใช้เวลาเพียงแค่ปีกว่า ๆ ขยายเฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อย ได้กว่า 30 สาขาและเมื่อเขาเห็นว่า เฟรนไชส์ของเขาขายได้หลายแห่งแล้ว เขาจึงคิดจะทำสินค้าอื่นเพิ่มเติม จึงลองนำอย่างอื่นมาวางขายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น เกาลัด ลูกท้อ ลำไยอบแห้ง และสาหร่าย แต่สินค้าที่ขายดีที่สุดในตอนนั้นกลับไม่ใช่เกาลัด แต่กลายเป็นสาหร่ายทอดกรอบ ซึ่งนั่นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากต่อยอดธุรกิจในการทำสาหร่ายทอดตรา "เถ้าแก่น้อย" อย่างจริงจัง 


        หลังจากนั้นเขาก็พยายามศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับสาหร่าย และได้ลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง โดยเริ่มจากบรรจุซองพลาสติกไปฝากตามร้านค้าต่าง ๆ แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย ทั้งสินค้าหมดอายุไว รูปแบบแพ็กเกจจำหน่ายไม่สวย จึงทำให้เขากลับมานั่งคิดอีกครั้งว่า จะทำอย่างไรให้สินค้าเก็บไว้ได้นาน มีแพ็คเกจที่น่าสนใจ และสามารถขายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ได้

       แต่พรสวรรค์ทางการตลาดของเขาก็ได้จุดประกายความคิดอีกครั้ง เขาได้นำกระแสเกาหลี กระแสญี่ปุ่น เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ โดยอยากให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าของ เขาได้ทันทีที่แรกเห็น เขาจึงทำโลโก้เป็นเด็กน่ายิ้ม ดูน่ารัก มีความสุข อีกทั้งถือธงเพื่อให้รู้ว่า ถึงจะเป็นของกินเล่นแต่มีคุณค่าทางอาหารสูง รวมไปถึงเพิ่มรสชาติต่าง ๆ ให้หลากหลาย ตอบรับความต้องการของแต่ละคน





และเมื่อเขาได้ปรับปรุงสินค้าเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยไปเสนอแก่ 7-11 อีกครั้ง และจากนั้นก็ได้รับการติดต่อกลับมาในทันทีว่า "ภายใน 3 เดือน สินค้าคุณพร้อมจะวางขายในร้าน 7-11 จำนวน 3,000 สาขาทั่วประเทศ หรือไม่" เมื่อได้ยินดังนั้น คำถามก็ประดังประเดเข้ามาในหัวของเขาว่า เขาต้องทอดสาหร่ายกี่แผ่น ใช้คนทอดกี่คน และจะทำทันหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมีคำถามอยู่เต็มหัวไปหมด แต่เขาก็ตอบกลับ 7-11 ไปเกือบจะทันทีว่า พร้อมครับ!!!

        หลังจากที่ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ตอบตกลงไปแล้ว เขาก็ต้องกับมานั่งกุมขมับ กับปัญหา และสิ่งที่ตามมาทั้งการสร้างโรงงาน เงินทุน แหล่งวัตถุดิบ การนำเข้าเครื่องจักรต่าง ๆ เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน พร้อมส่งขายแก่ 7-11 กว่า 3,000 สาขา ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น...  เขาจึงเดินหน้าด้วยการเริ่มต้นหาทุนสร้างโรงงาน โดยการไปขอกู้ยืมจากธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา นั่นเป็นเพราะว่า ในตอนนั้นเขามีอายุเพียง 20 ปี เท่านั้น และเมื่อเขากู้เงินไม่ผ่าน เขาจึงยอมตัดใจขายธุรกิจเฟรนไชส์เกาลัดทิ้ง ซึ่งเฟรนไชน์กว่า 30 สาขาดังกล่าว สร้างรายได้ให้เขาเดือนละกว่าล้านบาทเลยทีเดียว แต่กว่าที่เขาจะตัดสินใจขายเฟรนไชส์แรกที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญต่อจิตใจของเขามาก แต่เขาก็ต้องขายด้วยความเสี่ยง เพราะเขาไม่รู้เลยว่า ธุรกิจสาหร่ายนั้น จะดีเท่ากับธุรกิจเกาลัดหรือไม่



นขณะที่ธุรกิจกำลังก้าวหน้า ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ได้ตัดสินใจดร๊อปเรียนไว้ตอนปี 1 เพื่อนำเวลามาทำธุรกิจส่วนตัวอย่างเต็มตัว ส่วนทางด้านเงินที่ขายเฟรนไชส์เกาลัด ก็นำมาลงทุนกับสาหร่ายทั้งหมด โดยการสร้างโรงงานผลิตสาหร่ายทอด ซึ่งมีพนักงานก็คือครอบครัวของเขาทุกคน และคนงานอีกเพียงแค่ 6-7 คนเท่านั้น ทุกคนทำงานอย่างหนัก ยิ่งช่วงใกล้ส่งสินค้าให้กับทาง 7-11 ครอบครัวและคนงานของเขา แทบไม่ได้หลับได้นอน ทอดสาหร่าย และบรรจุภัณฑ์ แต่ก็สำเร็จ เขาสามารถบรรทุกสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเต็มคัน ขับไปส่งศูนย์จำหน่าย  7-11 ได้สำเร็จ

        จากนั้นเป็นต้นมา สาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" ก็ทะยานสู่ตลาดวัยรุ่น และผู้บริโภคที่ชื่นชอบสาหร่ายทอดกรอบได้สำเร็จ ส่วน ต๊อบ ก็กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มใหม่ไฟแรง เปลี่ยนสถานะจากเศรษฐีร้อยล้าน กลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้อย่างสำเร็จ

          ส่วนเรื่องการเรียนของ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ นั้น ตอนนี้เขามีวุฒิการศึกษาสูงสุดเพียงแค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้ลงเรียนอีกครั้งที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งแม้ว่าเขาจะเชื่อว่า ประสบการณ์ไม่ได้มาจากทฤษฎีในห้องเรียน แต่มันมาจากการลงมือปฏิบัติก็ตาม แต่ที่เขาเรียนนั่นก็เพื่ออยากจะให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ และอยากถ่ายรูปรับปริญญาร่วมกับครอบครัวเพียงเท่านั้น...


Credit : Kapook

วรสิทธิ์ อิสสระ หนุ่มรุ่นใหม่ไฮเปอร์ที่หาตัวจับยากในวงการธุรกิจโรงแรม




“ผมไม่เก่ง แต่ผมโชคดี” “ผมคุยกับคุณพ่อเลยว่าการทำงานของผม บางเรื่องผมรอพ่อไม่ได้ ผมขอตัดสินใจเลย คือ ถ้าผมออกรบ ถ้าเกิดผมต้องฆ่า ผมก็ฆ่าตอนนั้นเลย เชือดต้องเชือดตรงนั้น ไม่ใช่ว่าต้องรอหัวหน้าก๊กสั่ง เพราะหัวหน้าไม่ได้เห็นสนามรบเหมือนเรา” นี่คือความเด็ดเดี่ยวของผู้ชายที่ชื่อ ปลาวาฬ – วรสิทธิ์ อิสสระ หนุ่มรุ่นใหม่ไฮเปอร์ที่หาตัวจับยากในวงการธุรกิจโรงแรม และล่าสุดกับการเปิดตัวเว็บไซต์ Gurawan แหล่งรวมสินค้าดีมีสไตล์แบรนด์ไทยภายใต้ธุรกิจใหม่ “สยามแบรนด์ส”

เริ่มต้นจากวัยเรียน ที่ไม่ใช่แค่เรียน แต่เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย
    ผมเป็นคนเรียนไม่เก่ง เรียนไฮสคูลที่อังกฤษตั้งแต่อายุ 9-15 ปี พอเบื่ออังกฤษ ประมาณ ม.5–ม.6 ก็ย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกา จนถึงเรียนมหาวิทยาลัย อยู่อเมริกาประมาณ 5 ปี ซึ่งช่วงนั้นก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ช่วงมหาวิทยาลัยเรียนน้อยมาก เพราะการที่อยู่โรงเรียนประจำมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตมัน structure มากๆ ทุกอย่างทำเป็นตารางทุกวัน พอต้องมาเรียนวันละแค่ 3 ชั่วโมงก็รู้สึกเบื่อ เริ่มเที่ยว เที่ยวเสร็จก็เบื่อเพราะเงินหมดเร็ว ก็เลยเริ่มหางานทำไปด้วย  ตอนนั้นทำทุกอย่างทั้งร้านอาหาร ผับ ทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับงาน Hospitality เรื่องอาหารและเครื่องดื่ม 

    เคยทำที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ตั้งแต่ล้างจาน เด็กเสิร์ฟ รับโทรศัพท์ หลังจากนั้นเจ้าของร้านดึงตัวไปทำงานเป็น Promoter ให้ ซึ่งตัวเองเป็นคนที่ทำงานเก่งกว่าเรียน เพราะไม่ชอบเรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก เรียนก็จบช้าไปหนึ่งปี หาเงินได้เยอะ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย พ่อแม่ให้เงินเดือนประมาณ 1,500 เหรียญสหรัฐเป็นเงินไทยประมาณ 30,000 กว่าบาท แต่ตอนเด็กๆ ที่อยู่โรงเรียนประจำได้เดือนละ 30 ปอนด์ ก็พออยู่ได้ แต่ก็ทำมาม่า พาสต้าขายในโรงเรียน เพราะชอบขายของ อะไรที่สามารถทำให้เกิดรายได้เพื่อเอามาใช้กินใช้เที่ยวตามนิสัยเราได้ ก็ทำหมด ตอนนั้นที่ได้ 1,500 เหรียญสหรัฐ เอามาจ่ายค่าเช่าบ้าน 400 ค่าน้ำมันรถ 200 ค่าอาหาร 300 เหลือ 400 ก็เที่ยว คืนหนึ่งก็หมดแล้ว ผมก็เลยหางานทำ กับ 3 ปีในชีวิตมหาวิทยาลัยที่อเมริกาก่อนไปต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ปีแรกทำงานที่ร้านอาหารไทยก่อน แล้วก็โดนดึงตัวไปทำงานในผับ เริ่มจากดูแลแขกวีไอพี ได้ทิปเยอะดี ก็ทำไปก่อน ซึ่งผับที่ทำจะมี Promoter หลายคน แต่วันจันทร์จะไม่มี ผมก็เลยขอที่ผับทำหน้าที่วันจันทร์ 

การเริ่มต้นทำงานที่บ่งบอกถึงความครีเอท และมุ่งมั่นตั้งใจ
    ทางผับบอกว่าวันจันทร์จะลงทุนทำอะไร มันไม่ค่อยมีคน ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมมีงบ ผมก็เอาเงินประมาณ 300 เหรียญสหรัฐไปลงทุนกับเพื่อน 3 คน คนหนึ่งเป็นดีเจ อีกคนเป็นนักอเมริกันฟุตบอลคอยเฝ้าประตู ผมเอาเงินไปทำแผ่นพับ หาดีไซเนอร์ โปรโมทเป็นคืน “International Night” เพราะเป็นช่วงซัมเมอร์ เด็กเรียนเก่งจะกลับบ้าน เด็กที่สอบไม่ผ่านก็จะเรียนซ้ำชั้น เพราะผมก็เรียนซ้ำชั้น (หัวเราะ) ซึ่งผมก็มีแก๊งค์เด็กซ่า ผมก็เริ่มเอาแผ่นพับไปแขวนตามประตู แล้วผมก็จ้างบริษัทพิซซ่าที่เพื่อนทำงานอยู่ที่เขาต้องไปแจกแผ่นพับของร้านอยู่แล้วตามอพาร์ทเม้นท์  คอนโดคอมเพล็กซ์ ประมาณไว้ 3-4 พันห้อง ผมก็ทำแผ่นพับประมาณ 2 พันอัน แล้วจ้างคนส่งพิซซ่า 4 คน 800 เหรียญ ไปแขวนเพิ่มให้ลูกค้าที่สั่งพิซซ่าอยู่แล้ว โดยคอนเซ็ปท์ปาร์ตี้วันจันทร์ของผมคือ “International Night Monday at Lust” ผมก็จัดดีเจ และจ้างนักดนตรีพวกบราซิลเลี่ยนมาตีกลอง มาเล่นดนตรีฮิปฮอบ และเฮ้าส์  ได้การตอบรับดีมาก คืนแรกคนมา 600 คน ปกติผับรับได้ 400 คน ต้องเปิดโซนสวนเพิ่ม ซึ่งทำอยู่ 3 เดือน ได้เงินเยอะมาก ตอนนั้นเฉพาะค่าเข้าผับคนละ 20 เหรียญแล้ว ถ้าคนมาเที่ยว 300 คนแรก ผมได้ 8 เหรียญสหรัฐต่อคน แต่ถ้าเกินจาก 300 คน ผมได้ 15 เหรียญสหรัฐต่อคนเลย ถ้า 400 คน ก็คูณ 15 ก็ได้เป็นพันเลย ทำไปเรื่อยๆ 3 เดือนคนฮิตมาก 

เมื่อเครื่องติด ความคิดก็ไม่หยุดนิ่ง
    พอช่วงเปิดเทอม Promoter ก็ทำยอดไม่ดี ผมก็เลยขอทางผับทำวันพุธด้วย ขอเป็น “Lady Night” ซึ่งตอนนั้นเรดบลูวอดก้าเพิ่งเข้าอเมริกามา และเพื่อนผมเรดบลู กระทิงแดง เพราะเรียนด้วยกันมาแต่เด็ก  ตอนนั้นก็เลยจัดแบบก่อนสี่ทุ่มครึ่งให้เข้าผับได้เฉพาะผู้หญิง ผู้ชายห้ามเข้า บางวันก็เป็นแบบให้ผู้หญิงจ่ายค่าเข้าแล้วดริงก์ฟรี แล้วพอหลังสี่ทุ่มครึ่งก็เปิดให้ผู้ชายเข้า ก็ได้ค่าเข้าอีก ตอนนั้นคิวยาวมาก พอทำได้ประมาณ 6-7 เดือน เห็นว่าวันศุกร์ว่าง และเจ้าของผับซึ่งรักผมมากเขาเป็นเกย์ ผมก็เลยเสนอให้ทำ 70’s ดิสโก้ทำ “Gay Night” ซึ่งสนุกมาก สนุกที่สุด เป็นคืนที่คนมาเที่ยวจะหน้าตาดีที่สุด ก็ทำแบบนี้เกือบ 2 ปี ได้เงินเยอะมากจนใช้ไม่หมด ผมก็จะทานแต่อาหารอย่างดีทุกวัน ชีวิตแบบซุปเปอร์รวย ซึ่งเงินจะฝากแบงก์ก็ไม่ได้เพราะไม่มีกรีนการ์ด ก็เงินสดล้วนๆ ก็เลยปาร์ตี้กระจุย



เมื่อฝีมือเข้าตา ความท้าทายก็ถูกหยิบยื่นให้
    วันหนึ่งหลังจากจบอนุปริญญา ผมก็ย้ายไปเรียนต่อการโรงแรมที่ไมอามี่อีก 6 เดือน ตอนนั้นมีเงินเก็บเยอะมาก ประมาณ 2-3 หมื่นเหรียญสหรัฐ ก็เลยหยุดทำงานเพื่อใช้เงินก่อน ก็มีส่งเงินให้คุณแม่ 2 แสนบาทเป็นของขวัญ แล้วสมัยนั้นมีผับชื่อ Bed ซึ่งดังมาก และคู่แข่งของผับนี้ชื่อ Opium Garden อยากให้ผมไปช่วยโปรโมท ผมก็ไปช่วย และถือว่าผมเป็นเด็กเอเชียคนเดียวในตอนนั้นที่สามารถทำงานได้เลย เพราะเด็กเอเชียคนอื่นจะเป็นเด็กเรียน ไม่ก็ทำงานในร้านอาหารไทย ส่วนเพื่อนในกลุ่มผมไม่มีคนไทยและคนเอเชียเลย และที่ไมอามี่ถือเป็นเมืองที่หรูหรามาก ทุกคนใฝ่ฝันที่อยากจะไปมากกว่าลอสแอนเจลิสเสียอีก ชีวิตตอนนั้นเรียกว่าเป็นคนรวยเลย
ทำงานจนเพลิน แต่ยังเรียนไม่จบ จะทำอย่างไร?
    อยู่มาวันหนึ่งก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าเราอยู่ที่นี่ก็อยู่ได้ งานก็มีเพราะเจ้าของผับเสนอให้อยู่แล้ว มีเจ้านายที่ดี มีเพื่อนที่ดีคอยดูแล มีคอนเนคชั่น ถ้าทำงานก็หาเงินได้ปีละแสนเหรียญสหรัฐไม่ต้องไปทำงานหนักเป็นเด็กเสิร์ฟ แต่ก็คิดว่าเราก็คงไม่ได้กลับเมืองไทยแน่ๆ คงใช้ชีวิตอยู่ไมอามี่ เพราะตอนอยู่ที่นั่นเพื่อนก็ให้เช่าบ้านริมหาดในราคาที่ถูกมาก บ้านใหญ่มาก สวยมาก สไตล์อาร์ทเดคคอร์ อยู่สบาย คิดว่าอยู่แบบนี้ก็อยู่ได้เรื่อยๆ อายุก็เพิ่ง 21 ปี แต่กลับยังเรียนไม่จบ ผมก็เริ่มคิดว่าเอายังไงดี เลยไปปรึกษาครูว่าจะทำยังไงเพราะถ้าอยู่ที่นี่ต้องเรียนไม่จบแน่ แล้วตอนนั้นก็เรียนเลทไปแล้ว 1 ปี ครูก็เลยแนะนำให้ไปเรียน Pass Course คอร์สสั้นๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์ คือเรียนประมาณ 9 เดือนก็จบได้เลย เรียน 8 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม ผมก็เลยตัดสินใจย้ายไปสวิตเซอร์แลนด์ รูมเมทที่อยู่ด้วยกันตอนนั้นและเพื่อนทุกคนงงมาก ตื่นเช้ามาผมก็บอกเพื่อนว่าเดี๋ยวไปเรียนก่อน เพราะอยู่ที่นี่ต่อชีวิตคงสั้นแน่ เพราะเราทำงานกลางคืนอยู่ในที่อโคจรตลอด แต่เราก็เอนจอยนะ เพราะเราชอบ มันสนุก 

หลังเรียนจบ ก็เริ่มหางานทำ 
    หลังจากเรียนจบ ก็ต้องหางาน ซึ่งปกติต้องหาในยุโรปอย่างเดียว และภาษาเราก็ไม่ค่อยได้ งานก็หายาก ผมก็เลยกลับมาหางานที่เมืองไทยตามโรงแรมชื่อดังต่างๆ บางโรงแรมให้ผมเป็น Spa Reception, Fitness Room Supervisor, Room Service ผมก็มองว่าจะทำทำไม เงินเดือนก็น้อย ก็คิดอยากกลับไปหางานทำที่ไมอามี่ ตอนนั้นก็เริ่มอยากทำงานธนาคาร ก็เริ่มหางานธนาคารในฝ่ายที่ทำเกี่ยวกับ Property เพราะคิดแล้วว่าจะไม่ทำงานเซอร์วิสในโรงแรมแล้ว แต่ธนาคารก็ต้องการคนที่จบปริญญาโท ผมก็เลยไม่ได้ทำอีก จนวันหนึ่งไปเห็นประกาศรับสมัครงานของโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงแรมนี้จะเข้าไปเลือกเด็กเพียง 15 คนจากทุกโรงเรียนทั่วสวิตเซอร์แลนด์เพื่อเข้าทำงานเป็น Chef de Commis หมายถึงคนถืออาหารให้เด็กเสิร์ฟเอาเสิร์ฟลงโต๊ะ และผมทราบว่าโรงแรมนี้เจ๋งที่สุด เท่ห์ที่สุด มี 21 ห้อง แพงที่สุดในอิตาลี ผมอยากได้งานนี้มาก 

    วันที่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ เขาบอกว่าผม Over Qualified สำหรับงานนี้ แต่ผมบอกว่าผมจะรู้สึกเป็นเกียรติมากถ้าผมได้ทำงานที่นี่ เพราะที่นี่ท็อปที่สุดของโลก และก็บอกเขาว่าผมเคยฝึกงานที่โรงแรมรามาดาเมื่อตอนอายุ 15 และที่โอเรียนเต็ลตอนอายุ 21 ปีครึ่ง ในส่วนงาน Housekeeping, Room Service, HR, Training ล้างห้องน้ำ ฝึกทุกอย่าง ได้ค่าฝึกงานเดือนละ 4,000 บาท แต่ก็ทำ และผมก็ทำเต็มที่ ฝึกทุกอย่าง ผมบอกเขาว่าผมอยากทำงานที่นี่มาก สรุปตอนนั้นก็ได้ทำงาน ทำอยู่ 8 เดือน ก็เริ่มจากเด็กถือถาดอแต่เอนจอยมาก เพราะได้ลงไปในครัว ได้ไปคุยกับเชฟ ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่  ตอนผมอายุ 24 ปี แต่เขาอายุ 28 ปี ตอนนี้เป็นเชฟที่ดังและหล่อที่สุดในอิตาลี ตอนนั้นผมจะชอบแซวเขา แอบดูเขา อยากรู้ว่า Michelin Star ทำกันยังไง หลังๆ ก็เริ่มสนิทกัน ก็เริ่มได้ชิม ได้เห็นวิธีการทำ ได้รียนรู้ พอขึ้นมาเสิร์ฟก็มาดูวิธีการเปิดไวน์ เช่น ไวน์ขวดละ 7 หมื่นบาทต้องเปิดยังไง ผมเลยได้เห็นอะไรอีกมาก จากชีวิตที่อยู่แต่ในโลกของไนท์คลับ อันเดอร์กราวน์ เปิดเพลงมันส์ คนเมาเยอะๆ  ก็เปลี่ยนมาทำทำโรงแรมหรูแบบผู้ดี คนดังๆ หลายคนก็มาใช้บริการ ทั้งนักธุรกิจมีชื่อ ดาราชื่อดัง เรียกว่าลูกค้าที่รวยระดับโลกทั้งนั้น บางคนมาเฮลิคอปเตอร์ มาเรือ ซึ่งสุดยอดมาก แบบว่ามาใช้บริการกันแบบไม่ใส่ใจเรื่องราคาเลย ให้ทิปครั้งละ 100 ยูโร อย่างศรีพันวาก็สู้ไม่ได้ถึงจะสวยมาก แต่คอนเนคชั่นของที่นี่มีมากว่า 40-50 ปี เขาแข็งแรงเรื่องนี้มาก 

    แต่พอทำได้ 2 เดือน ก็เริ่มคันอยากกลับไปเที่ยวอีก ซึ่งตอนนั้นชอบไปเที่ยวผับชื่อลาทอเร่ เป็นเหมือนปราสาทเก่าอยู่ริมทะเลสาบ เคยถ่ายหนังเรื่องเจมส์บอนด์ด้วย สวยมาก ผมก็เริ่มอยากเป็นดีเจ ก็ไปตีสนิทกับเจ้าของชื่อแมกซ์ ผมก็ไปเปิดแผ่นให้เขาฟัง บูธดีเจเป็นเหมือนป้อมปราสาท มองลงไปเป็นสวน ไฟสวย มีคนมาเที่ยวประมาณ 700 คน ก็คุยกันว่าจะมาทำช่วงซัมเมอร์ ตอนนั้นผมก็ยังทำงานปกติ แต่มีวันหนึ่งแมกซ์ก็โทรมาให้ไปทำ วันนั้นคนก็มันส์มาก ก็เปิดแผ่นตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตี 4 พอจะเก็บของกลับบ้าน แมกซ์ก็มาชวนบอกให้มาทำทุกวันศุกร์ เสาร์ เที่ยงคืนถึงตี 3 เพราะคนอิตาเลี่ยน เยอรมันเที่ยวกันดึก แล้ววันนั้นเขาให้ค่าตอบแทนผม 400 ยูโร ตกชั่วโมงละ100 ยูโร คิดเป็น 5,000 บาท ซึ่งตอนนั้นผมทำงานที่โรงแรมได้เดือนละ 1,200 ยูโร ซึ่งก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่แมกซ์ให้เงินเยอะมาก ก็เลยทำงานควบสองแห่งเลย (หัวเราะ) 

    พอช่วงซัมเมอร์อากาศเริ่มร้อน โรงแรมก็มีการประชุมพนักงานเพื่อหา Pool Service ซึ่งเป็นคนเสิร์ฟข้างสระน้ำที่มีพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ สระน้ำจะถูกล้อมด้วยสนามหญ้า ต้องทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม เริ่มตั้งแต่จัดสระน้ำ มองพนักงานคนอื่นก็หลบหน้าหมดไม่มีคนสนใจทำ ผมก็เลยเสนอตัวทำ ซึ่งอาทิตย์แรกทำคนเดียวก่อน แต่หลังจากนั้นหลานเจ้าของซึ่งอายุ 15 ปีก็มาทำด้วย สรุปก็ช่วยกัน 2 คน ผมก็ถามทางโรงแรมว่า ผมทำอะไรได้ทุกอย่างเลยใช่ไหม ผมก็ขอจัดดอกไม้รอบสระ ตอนนั้นผมถามผู้อำนวยการว่าที่ผ่านมาเคยทำรายได้ได้เท่าไหร่ เขาบอกได้วันละ 1,000 ยูโร ผมก็สัญญากับเขาว่าผมจะทำให้ที่นี่กลายเป็น “Best Pool Service in the World” สรุปผมก็ทำได้วันละ 3,000 ยูโร ตอนนั้นใช้วิธีตีสนิทกับแขกที่มาพัก แต่ละคนมาอยู่ที 2 อาทิตย์ ทุกเช้าเดินผ่านพวกเขาก็จะเชิญชวนให้เขามา Pool Service เดินเหมือนตัวเองเป็นผู้จัดการ จนเจ้านายบอกว่าไม่กล้าเรียกผมว่าเป็น Pool Boy แล้ว ต้องเรียกว่า  Pool Director ซึ่งผมจะจำชื่อแขกได้เกือบทุกคนเพราะมีไม่เยอะ และผมก็จะ Customized Service มาก ผมจะแนะนำให้ลูกค้าสั่ง Macchiato เพราะผมทำอร่อย และเคยทำตอนอยู่ไมอามี่ โดยผมก็จะเดินไปตัดมิ้นท์ที่ปลูกตรงสวนแถวนั้นมาผสม ลูกค้าก็ชอบมาก ขายแก้วละ 35 ยูโร ประมาณพันกว่าบาท วันหนึ่งผมขาย 40 แก้วก็คุ้มแล้ว และผมก็ได้ทิปเยอะมาก  เฉลี่ยวันละ 300 ยูโร แค่ทิปอย่างเดียวผมก็รวย ก็กลับมารวยมากอีกแล้ว (สายตาเป็นประกาย) 

และโอกาสดีๆ ก็ถูกหยิบยื่นให้อีกครั้ง
    ระหว่างที่ทำงานที่นั้น มีลูกค้ามาเสนองานให้ผมเยอะมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง มีลูกค้าคนหนึ่งซึ่งอยู่กับผม 7 วันเต็มมาชวนไปทำงานที่โรงแรมหรูในไอร์แลนด์ ตอนนั้นผมได้ข้อเสนอค่าตอบแทนและสวัสดิการดีมาก พอคุยเสร็จเขาก็ให้ทิป 1,000 ยูโร แล้วทิ้งท้ายว่า “ถ้าอยากได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ก็บอกเขา” ตอนนั้นรู้สึกชีวิตสวยงามมาก ข้อเสนอคือจะได้เดินทางเดือนละ 3 อาทิตย์ อยู่โรงแรม 5 ดาว ได้กินทุกอย่างที่ต้องการแบบไม่จำกัด มีคนขับรถ และอีก 2 วันต่อมาเขาก็ส่งสัญญามาให้ ในสัญญาระบุว่าให้ค่าตอบแทนเดือนละ 7,000 ปอนด์ เยอะมาก แล้วช่วงนั้น 2003-2006 โบนัสก็เยอะมาก ผมก็คิดเลยว่าผมคงจะไม่ค่อยได้ใช้เงินก้อนนี้เลย เพราะทุกอย่างมีให้หมดแล้ว ก็เลยคิดว่าพอทำงานซัก 3 เดือนจะซื้อรถพอร์ช เทอร์โบ ทิ้งไว้ที่อังกฤษเพราะน้องๆ ก็อยู่อังกฤษเพราะเป็นรถในฝัน ผมก็โทรบอกคุณพ่อว่าได้ข้อเสนอดีมากๆ พ่อบอกสุดยอดเลย ตอนนั้นคิดขึ้นมาว่าถ้าทำงานที่เมืองไทยก็มาเป็น Spa Reception งั้นไม่กลับละ ทำงานที่นี่ดีกว่า พ่อก็ไม่ว่าอะไร ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาเลย

จุดพลิกผันเมื่อตัดสินใจเข้ามาช่วยธุรกิจของครอบครัว
    ผมต้องเริ่มงานวันที่ 5 มกราคม 2005 ผมเลยมีช่วงว่าง ผมก็ช่วยคุณพ่อเขียนแผนธุรกิจของศรีพันวาช่วงที่กลับมาไทย ผมไปอยู่คลุกฝุ่นในไซท์งานที่ภูเก็ต เช่าโรงแรมอยู่ข้างๆ ตอนนั้นสำนักงานขายเพิ่งสร้างเสร็จ มีเอเย่นต์ขาย แต่ตัวสำนักงานและบริการแย่มาก ขายบ้านราคาเป็นล้านอย่างกับขายผลไม้ เลยคิดว่าต้องปรับปรุง ก็เข้าไปจัดออฟฟิศใหม่หมด แทนที่จะได้ไปพักชิลๆ ผมก็ลงมือขายเองเลยเพราะงานพวกนี้ผมทำได้อยู่แล้ว แต่พอคุณพ่อทราบว่ามาเปลี่ยนระบบเดิมก็ไม่พอใจ ก็ทะเลาะกัน ก็เลยไม่ทำ แต่ตอนนั้นก็ไม่คุ้นกับระบบการทำงานแบบที่เป็นอยู่ เพราะคุ้นเคยกับสไตล์ทำงานแบบยุโรป คือตรงไปตรงมา ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด และตอนนั้นก็บอกพ่อว่าเราตั้งราคาขายบ้านหลังละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐมันต่ำไป ผมคิดว่าโดนกดราคา ก็มีความเห็นไม่ตรงกัน ผมก็คุยกับคุณพ่อเลยว่าจากประสบการณ์อันโชกโชนของผมที่หาเงินเองได้มาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ มีงานมาเสนอค่าตอบแทนให้สูงขนาดนี้ อย่ามองผมเป็นเด็ก ผมไม่ได้อวดดีด้วย และพ่ออาจรู้จักผมน้อยไป เพราะปีหนึ่งเราเจอกัน 2 ครั้งเองไม่เกิน 6 อาทิตย์ เราต้องคุยกันแบบโปรเฟสชั่นแนล แต่ตัวผมเองก็ยอมรับว่ามี “อัตตาสูง” ผมเชื่อว่าขณะนั้นถึงผมจะอายุแค่ 23-24 ปี แต่ผมเชื่อว่าผมดูแลตัวเองมาตลอด ชั่วโมงบินก็เชื่อว่ามากกว่าคนในวัยเดียวกัน ผมก็ขอพ่อบริหารจัดการ เพราะผมดูผลสำรวจแล้ว ผมว่าเราตั้งราคาขายถูกมากเลย ผมขึ้นราคาอีก 40% แต่ก็ยังขายไม่ได้อีก เพราะปีนั้นเกิดสึนามิ ต้องหยุดก่อสร้างก่อน พอช่วงเกิดสึนามินี้เอง ผมรู้สึกเองเลยว่าเหมือนผมมีภาระ จะถอยดีหรือเปล่า แล้วอีก 10 วันก็ต้องไปทำงานที่ไอร์แลนด์แล้ว ซึ่งตอนนั้นผมมีเพื่อนรัสเซียคนหนึ่งก็ไปช่วยคนที่เขาหลักกันอยู่ 2 วัน เพื่อนคนนี้ชื่อเซอร์เก้ ผมก็บอกเขาว่าอีก 10 วันต้องจากกันแล้ว แต่ผมจะพยายามหางานที่ไอร์แลนด์ให้นะ แต่พออยู่ไปอยู่มา ผมก็เปลี่ยนใจ ตัดสินใจชวนเซอร์เก้ให้ทำงานที่เมืองไทย แล้วผมก็เริ่มทำแผนธุรกิจเสนอพ่อ เพราะช่วงนั้นอยากพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เราต้องสร้างต่อ ขึ้นราคาบ้าน 2 เท่า เปลี่ยนจากเรสซิเดนซ์อย่างเดียวเป็นโรงแรมด้วย และสมัยนั้นยังไม่มีคนทำลักษณะนี้ แล้วก็ไปบอกพ่อว่าจะอยู่ช่วยพ่อต่อ พ่อบอกให้เงินเดือน 35,000 บาท (มีเสียดายเล็กน้อยกับเงินเดือนที่ต้องทิ้งไป) แต่ตอนนั้นใจหนึ่งก็ไม่ได้อยากกลับเมืองไทยเสียทีเดียว แอบคิดถึงไอร์แลนด์เพราะคิดว่าทำงานแค่ 3 เดือนก็ได้พอร์ช เทอร์โบแล้ว อยู่กรุงเทพฯ ขับรถเก่า เงินเดือน 35,000 รถประจำตำแหน่งเป็นปิกอัพคันหนึ่ง คอมมิสชั่นก็ไม่ได้ พ่อบอกให้มากกว่านี้เดี๋ยวคนอื่นจะว่าได้


การดูถูกจากคนรอบข้าง ถือเป็นแรงขับที่ดีให้เราต้องพิสูจน์ตัวเอง
    พอวันที่ต้องเสนอแผนธุรกิจ ผมนำเสนอตั้งแต่รูปแบบเว็บไซต์ โลโก้ ขอเพิ่มราคาขายจาก 1 เป็น 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ พ่อก็บอกทุกคนว่าจะให้ผมมาเทคแคร์เซลล์ คนก็ถามเลยว่า “คุณวาฬขายบ้านเป็นเหรอค่ะ” “คุณวาฬขายของไฮเอนด์เป็นเหรอค่ะ” ซึ่งคนพวกนี้เขารู้จักเรามาตั้งแต่เด็ก เลยเห็นเราเป็นแค่ลูกคุณสงกรานต์ ผมก็ให้เค้าดู Resume ว่าผมทำอะไรมาบ้าง งานที่ผมทิ้งมาให้ข้อเสนออะไรผมบ้าง 

    พอได้ทำงาน ก็ตั้งตำแหน่งตัวเองเป็น Business Development เริ่มไปจัดการจัดสำนักงานขายใหม่ทั้งหมด เพราะของเดิมมันรกมาก เอาเอเย่นต์ออก และจากนั้นเพียง 3 อาทิตย์ผมขายบ้านได้ ถือว่าโชคดีมาก จำได้เลยว่าขายได้หลังแรกเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์  ซึ่งถามว่าทำไมขายได้ เพราะผมทำให้บ้านดูหรูขึ้นด้วยการปรับราคาแพงขึ้น วิธีการขายผมก็ไม่เหมือนคนอื่น ผมพาไปดูทีละห้องๆ สาธยายจุดเด่นและฟังก์ชั่นของแต่ละห้อง ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ทุกอย่าง ผมลงรายละเอียดหมด ตั้งราคาขายอยู่ที่ 2.5 – 12 ล้านเหรียญสหรัฐ สรุปปี 2005 ผมทำยอดขายได้ 560 ล้านบาท ปี 2006 ได้ 600 กว่าล้าน พอปี 2007 ทำได้ 800 กว่าล้าน 2008-2009 รวมกันประมาณ 700 กว่าล้าน ตอนนั้นทุกคนว่าอะไรผมไม่ได้แล้ว ทุกคนที่เคยว่าผมหน้าแตกหมด เรียกว่าตั้งแต่ปี 2005 ผมแทบไม่ได้กลับกรุงเทพเลยเพราะลุยธุรกิจอย่างเดียว จากนั้นผมก็เริ่มสร้างทีมงานของผมซึ่งเป็นคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก บางคนผมรักและผูกพันมาก จนตอนนี้ธุรกิจศรีพันว่าถือว่าอยู่ตัวแล้ว 

    สรุปก็ทำธุรกิจโรงแรมอยู่ประมาณ 8 ปี ซึ่งตอนนี้โครงการที่ศรีพันวามีทั้งหมด 4 เฟส แต่ยังเหลือพื้นที่ทำได้อีก 5 หลัง ซึ่งผมฝันไว้ว่าจะทำเป็นเมก้า เบลล่า เป็นวิลล่าที่มี 7 ห้องนอน พื้นที่ 5,000 ตารางเมตร ราคาหลังละ 300-400 ล้าน ซึ่งมองว่าขายได้อยู่แล้ว เพราะบางคนยังซื้อเรือราคาเป็น 1,000 ล้านเลย แต่อาจต้องรอเวลาก่อนเพราะตอนนี้ตลาดเงียบมาก ค่าเงินก็แพง ปัจจัยอื่นๆ ด้านเศรษฐกิจการเมืองของประเทศก็ยังไม่ค่อยสนับสนุน

ธุรกิจครอบครัวให้อะไรกับชีวิตบ้าง
    เป็นธุรกิจแรกที่ใหญ่ที่ได้เริ่มทำ และผมได้ความสะใจ เพราะต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะ ไม่ใช่กับที่ทำงานนะ แต่กับคู่แข่งในธุรกิจโรงแรมด้วยกัน มันเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก เมื่อก่อนทำงานแบบวันแมนโชว์ จนวันนี้มีทีมงานที่สร้างมากับมือ ซึ่งจากศรีพันวาเรามีหนี้เยอะมาก แต่ผมก็สามารถทำให้มันกลับมาต่อยอดได้ที่เดอะอิสสระ ลาดพร้าว หรือโครงการอื่นๆ ได้ ศรีพันวาเป็นโครงการที่มีราคาขายต่อตารางเมตรแพงที่สุดในเมืองไทย ก็ภูมิใจกับสิ่งนี้ ที่ภูมิใจเพราะศรีพันวาเป็นแบรนด์ไทยด้วย ซึ่งผมรักความเป็นไทยมาก ถือเป็นประเด็นสำคัญของผมเลย ฝรั่งบางคนเคยดูถูกผมว่า “ผมเป็นคนไทย ผมทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่ผมทำได้ ผมก็ภูมิใจ”



CREDIT : AC News



ณิกษ์ อนุมานราชธน ธุรกิจ Mixology


 


ณิกษ์ อนุมานราชธน รู้ว่ารักที่จะทำอะไรก็พอแล้ว

“ผมว่าอย่าเพิ่งตัดสินอะไรจากข้างนอกดีกว่า เอาไว้ถ้าได้ชิมค็อกเทลของผมก็จะได้รู้ว่าทีมของเราไม่ใช่เด็กรักสนุกที่ลองมาทำธุรกิจเล่นๆ เอามันเท่านั้น แต่พวกเรามีความเป็นโปรเฟสชันนอล”

ความที่มีนามสกุล อนุมานราชธน หนุ่ม ณิกษ์ เลยกลายเป็นหลานเจ้าพระยาไปโดยปริยาย แต่สำหรับธุรกิจที่เขาเลือกอย่างธุรกิจค็อกเทล กับแบรนด์ที่เขาก่อตั้ง  Vice Versa ในวัยเพียง 22 ปี และกำลังศึกษาอยู่ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ รั้วจามจุรี บางทีก็ดูขัดแย้ง
ใครจะมองว่าเป็นบาร์เทนเดอร์ เป็นพริตตีบอยหน้าบาร์ หรือแค่ทีมหนุ่มๆ ที่รักสนุกและกึ่มๆ จะมอมเมา เขาไม่เคยแคร์

“สนใจแค่ว่าตัวเรามองตัวเองว่าเป็นอะไรมากกว่า การได้ทำในสิ่งที่รักย่อมเป็นความสุขที่สุดแล้ว อีกทั้งการผสมผสานเครื่องดื่ม หรือผู้คิดค้นสูตรใหม่ๆ ที่เรียกว่า Mixology ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ผสมเครื่องดื่มตามสั่งเท่านั้น หากเสมือนผู้แนะนำเครื่องดื่มให้ตรงกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่เรียนรู้ได้ไม่มีวันหมด”

“ค็อกเทลก็เหมือนแฟชั่น ผมใช้วิธีการนำสูตรคลาสสิกเดิมมาเติมแต่ง ผสมให้มีรสชาติใหม่ๆ ในแบบเฉพาะตัวมากกว่า ผมคิดว่าการจับของเดิมที่มีมาประยุกต์เป็นของใหม่เหมือนเป็นการผสมสี เป็นอาร์ตอย่างหนึ่งเหมือนกัน การทำค็อกเทลแต่ละแก้วจะว่ายากก็ไม่เชิง ง่ายก็ไม่ใช่ เพียงแต่ต้องรู้จักวิธีการ รู้สูตรดั้งเดิมที่ถูกต้อง และรู้ว่าอะไรจะเข้าหรือจะขัดกับอะไร”

ครั้งแรกที่ได้ทำความรู้จักกับธุรกิจค็อกเทล ณิกษ์เล่าด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีพลางหัวเราะเป็นระยะๆ เมื่อพูดถึง เขายอมรับว่าถูกเพื่อนหลอก

“ตอนนั้นโดนเพื่อนหลอกไปครับ เขาชวนไปงานของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่ง แต่จากคนที่ไปร่วมงานกลายเป็นว่าต้องไปยืนชงเหล้าตั้งแต่บ่าย 3 กว่าจะเลิกงาน เก็บของ เสร็จก็เกือบตี 4 เบ็ดเสร็จได้ค่าแรง 500 บาท แต่ต้องรออีก 2 เดือนกว่าจะได้เห็นเงิน”




จากจับพลัดจับผลูไปทำงานหลังเคาน์เตอร์บาร์ครั้งนั้นทำให้เขารู้สึกว่าสนุก และเป็นโอกาสที่นำพาเขาให้เขามารู้จักบาร์เทนเดอร์ชื่อดัง เบนนี และ แดนนี ซอรัม ซึ่งเป็นหุ้นส่วน Flow Cocktail ร่วมกับ นนทิวัช ประภานนท์ และ ชานนท์ บุรานนท์ ซึ่งกำลังมองหาเด็กหนุ่มหน่วยก้านดีมาร่วมทีม หลังจากเพิ่งเปิดบริษัทซึ่งทำธุรกิจในการออกแบบค็อกเทลสำหรับงานอีเวนต์มาได้ 3 เดือน

เขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กล้างแก้วจนได้มาเป็นยืนเป็นพริตตีบอยหน้าบาร์คอยแนะนำเครื่องดื่มกับลูกค้าที่มีลิสต์ยาวเป็นหางว่าว จากนั้นก้เริ่มฟอร์มทีมสร้างแบรนด์ของตัวเอง

เอกลักษณ์เด่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของ Vice Versa อยู่ที่ความมีไฟของวัยรุ่นซึ่งพร้อมจะทำงานทุกอย่างด้วยความสนุก สามารถทำให้ผู้ที่มาร่วมงานประทับใจและมีความสุขด้วยเครื่องดื่มของเขาอย่างแน่นอน แถมยังคอนเฟิร์มว่าหน้าเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งล้วนมีพลังออราจากบรรดาบาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อทั้งหลายจะช่วยดึงดูดความสนใจ และเป็นแรงกระตุ้นเชิญชวนให้ลองดื่มได้ขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว


Vice Versa ในความหมายของผมคือ การกลับในสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าไม่ดี อย่างการเที่ยว การดื่ม แต่ให้ลองมองอีกมุมว่าเป็นค็อกเทลศาสตร์อย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้มีความสุขในการสังสรรค์อย่างพอดี” หนุ่มน้อยเจ้าของธุรกิจชี้แจงที่มาของชื่อทีม

...ความตั้งใจ-ดี ความคิดสร้างสรรค์-เยี่ยม ที่เหลือ เราอยากให้คุณ-ได้ลอง ทำไมน่ะหรือ? งั้นลองกลับไปอ่านประโยคแรกใหม่อีกทีละกัน


Credit : Who?

"ดิฐวัฒน์ อิสสระ" นักธุรกิจอารมณ์ดี



ปลาทู-ดิฐวัฒน์ อิสสระ หรือ ปลาทูทายาทของตระกูลอิสสระเจ้าของธุรกิจคอนโดมิเนียม สุดหรู ชาญอิสสระ ซึ่งหลังเรียนจบด้าน Product Design จาก Central St. Martins College of Art & Design เขาได้กลับมาช่วยงานที่เป็นธุรกิจของครอบครัวทันที ในตําแหน่ง Creative Director โดยรับผิดชอบงานด้านครีเอทีฟเป็นหลักหน้าที่หลักส่วนใหญ่ของผม จะดูแลกิจกรรมพิเศษ กับโฆษณาในบริษัทครับ เช่น ดูแลงานออกแบบกราฟิก ออกแบบอาร์ตเวิร์ก ออกแบบบิลบอร์ดสําหรับลงโฆษณางานอีเว้นท์ และงานสปอตโฆษณาของบริษัท 

แรกๆ ที่เข้ามาทํางานยอมรับว่าต้องปรับตัวหลายอย่าง จากที่เป็นนักเรียนมีอิสระ อยากทําอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องมาทํางานเต็มเวลา แต่ก็โชคดีที่พนักงานในบริษัทบางคนเห็นผมมาตั้งแต่เด็กๆ เขาก็จะคอยบอกว่าผมควรทําตัวอย่างไร ซึ่งผมต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นจากคนอื่นมากขึ้น รู้จักเสนอ   ไอเดีย แม้ไอเดียบางชิ้นเสนอไปจะไม่เป็นที่ยอมรับก็ต้องรับฟังเหตุผลที่ส่วนรวมยอมรับ”...“ปลาทู- ดิฐวัฒน์กล่าวถึงเรื่องของหน้าที่ความรับผิดชอบเนื่องจากเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวกับงานประจํา ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว แม้จะเหนื่อยในบางครั้ง แต่ปลาทูมักจะบอกตัวเองเสมอ ว่าอย่าท้อ



การทํางานย่อมต้องมีเหนื่อย และต้องมีพักบ้าง ถ้ายิ่งพูด ยิ่งคิด ก็มีแต่เหนื่อยเท่านั้น ผมคิดว่าเวลาเราทํางานน่าจะสนุกกับงาน ยิ้มให้งานดีกว่า ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานมาก แม้จะยุ่งมากทั้งงานที่บริษัท และงานส่วนตัว ผมกําลังทํางานออก แบบเฟอร์นิเจอร์ของตัวเอง อยู่ระหว่างศึกษางาน เพราะเราถือว่าเราเป็นเด็กใหม่ ต้องรู้จักหามุมมอง หาเพื่อนใหม่เปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้มากขึ้นเขากล่าวอย่างภาคภูมิใจ


Credit: คมชัดลึก

กรณ์ ณรงค์เดช ท้าดวลธุรกิจอสังหาฯ


หนุ่มหน้ามนผู้แตกไลน์ธุรกิจของครอบครัวจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง 

แม้ก่อนหน้านั้นตระกูล “ณรงค์เดช” มีบริษัทเคพีเอ็น เรียลเอสเตท ดำเนินการด้านธุรกิจอพาร์ตเมนต์มาแล้วกว่า 10 ปี แต่ไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบริษัท KPN Lifestyle โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็น Vice President 

ประเดิมโครงการแรกด้วย The Cadogan คอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ด้วยสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสผสมผสานกับอิตาเลียนตอนเหนือ ตั้งอยู่บนพื้นที่ทำเลทองกลางเมือง สุขุมวิท 39 ราคาขั้นต่ำห้อง 180 ตารางเมตร 12 ล้านบาท กรณ์เป็นคนดูแลทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึง concept design เรื่อยไปจนถึง marketing media plan และลงรายละเอียดถึงขั้นเลือกหลอดไฟ เลือกสีพรมเอง 

และนี่เป็นนโยบายของบริษัท ที่มิใช่เป็นเพียงของเล่น หรือกิจกรรมยามว่างของทายาทคนสุดท้องของ ดร.เกษม - คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช เพราะแผนการของบริษัทในอนาคตเตรียมรุกพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่งเพื่อสร้างรีสอร์ตหรูจับกลุ่มไฮเอนด์ต่อไป 



กรณ์บอกว่างที่ท้าทายที่สุดในการบริหารสำหรับเขา คือ การปิด generation gap ระหว่างพนักงานอาวุโสที่อยู่มาพร้อมกับรุ่นบิดามารดา และเด็กรุ่นใหม่ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข 

แม้อายุยังน้อย แต่เขามีหลักการดำเนินชีวิตที่ให้แง่คิดว่า ชีวิตนี้สั้นนัก จงมีความสุขกับมัน (ตราบใดที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน) 

Credit : Positioning

ต้น สุรยุทธ วิไลลักษณ์ นักธุรกิจหนุ่มไฮโซมาดเซอร์

 



วันนี้เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่แต่มีประสบการณ์ทำธุรกิจมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ และได้ประสบความสำเร็จหลายธุรกิจมากด้วยความคิดดีๆ คุณสุรยุทธ วิไลลักษณ์ หรือ คุณต้น Young Millionaire Nation ปี 2000 นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อสุดเซอร์ที่ปัจจุบันคุมบังเหียนบริษัทมากมาย ด้วยนามสกุลตระกูล วิไลลักษณ์ ที่เป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้าน (สามารถ คอร์ปอเรชั่น , iMobile) ทำให้หลายคนอาจคิดว่าเป็นลูกหลานเศรษฐีที่ทำธุรกิจจากเงินที่มากมายเป็นทุน แต่แท้จริงแล้ว เขาได้ให้สัมภาษณ์กับเราว่า ทุกบริษัทที่เค้าก่อตั้งมานี้เป็นผลงานการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ทั้งสิ้นซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย

ธุรกิจที่คุณดูแลอยู่ตอนนี้มีอะไรบ้าง มากมายหลายสิ่งเชียว   

ตอนนี้ผมก็ยังแบ่งเวลาดูธุรกิจของผมเองทุกตัวนะครับ ถ้าแบ่งหลักๆธุรกิจของผม ผมจะชอบแบ่งเป็น ธุรกิจที่อิงกับปัจจัยสี่ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อมีเดียครับ อย่างปัจจัยสี่ เองก็มี หมวดธุรกิจอาหาร Catering ส่วนหมวดยา อันนี้ผมมีบริษัทที่ผมโฟกัสอยู่ชื่อ ไวต้าอีส ซึ่งจำหน่ายยาและอาหารเสริมแบบไฮเอนด์ ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ และบรรจุในไทยด้วยมาตรฐาน GMP (ORYZ , Vita Collagen , EANA เอน่า ฯลฯ)รวมไปถึงเครื่องสำอางค์ หมวดความสวยความงามของสุภาพสตรี ไวต้าอีสเอง ก็มีช่องทางจัดจำหน่ายหลายช่องทาง เช่น ช่องทางขายตรงอย่าง Vitaeast network อีกทั้งแบบผ่านตัวแทนในไทย และต่างประเทศ ถ้าเป็นหมวดที่อยู่อาศัย หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกหนึ่งที่ในธุรกิจในเวลานี้ที่ผมให้ความสำคัญและสนใจมากๆ เป็นบริษัทที่ผมได้เข้าร่วมทำกับพี่ๆและผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ในด้านนี้โดยเฉพาะ โดยเริ่มจากการซื้อขายที่ดิน และรับทำโครงการก่อสร้างต่างๆ รวมทั้งเริ่มจากโครงการระดับเล็กๆของเรากันเองแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ส่วนธุรกิจมีเดีย นั้นเราทำมาเป็นสิบๆปีแล้วทั้งแบบที่เป็นสื่อของเราเอง และรับผลิต แบ่งเป็น งานโปรดักชั่นสื่อทีวีโฆษณา และทางด้านไอที ซอฟท์แวร์ และธุรกิจออนไลน์ครับ

รู้สึกว่ายังไม่หมดนะ เพราะก่อนสัมภาษณ์วันนี้ทีมงานได้ทำการ Search ข้อมูลบริษัท และชื่อของคุณแล้วเราเจออะไรมากมายในเว็บ อย่างเช่น งานอะไรทำไมมีภาพข่าวกับดาราเซ็กซี่ แล้วก็เกมส์ออนไลน์ด้วยหรือเปล่า

(หัวเราะ) ครับ จริงๆแล้วก็มีอีกหลายธุรกิจนะครับที่ผมเองมีหุ้นอยู่กับพรรคพวกด้วย เช่น ธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้า ส่วนภาพดาราอย่างที่บอกครับว่า เรามีบริษัทที่อยู่ในไลน์ของธุรกิจบันเทิงด้วยครับ จริงๆที่เป็นนักร้องนักแสดงก็มีนะครับ ส่วนที่เห็นภาพดาราเซ็กซี่นั้นเพราะนักข่าวให้ความสนใจกับข่าวแบบนี้มากกว่าครับ สำหรับ เกมส์นั้น (Godtower.com) เรียกว่าเป็น งานอดิเรกดีกว่าครับ ช่วงนั้นอยากทำเกมส์คนไทยให้ฝรั่งลองเล่นกันบ้าง (ปัจจุบันมีผู้ลองเล่นแล้วกว่า 181 ประเทศทั่วโลก)




แล้วธุรกิจแรกของคุณคืออะไรกันแน่ เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าไม่นับวาดเกมส์ขายให้เพื่อนๆเล่นตอนเรียนมัธยมล่ะก็ คงเป็นบริษัทรับทำเว็บไซต์ครับ เริ่มทำตั้งแต่เรียนจบหมาดๆ สมัยที่ Netscape เป็น Browser หลักอยู่เลย เน้นไปที่ระบบ e commerce ช่วงนั้นตอนแรกๆเรารับทำให้กับ ร้านดอกไม้ ร้านผ้าไหม ร้านขายของส่งออกต่างๆประเทศ พอเราทำให้ร้านเค้าทุกขั้นตอน แบบที่ตั้งใจให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ผลตอบรับก็ออกมาดีทางร้านเองก็ได้ลูกค้าใหม่ๆเปิดตลาดในต่างประเทศ เราเองก็ได้ศึกษาจากแนวความคิดเจ้าของตั้งแต่กิจการขนาดเล็ก ไปถึงใหญ่ รวมถึงค่าสถิติต่างๆที่ได้มา ก็มาช่วยเสริมความมั่นใจให้เราลงทุนผลิตสินค้าทำตลาดออนไลน์เองต่อมา 

แล้วตอนนี้จะเปิดบริษัท หรือเริ่มโครงการอะไรใหม่ๆเพิ่มอีกไหม

สำหรับผมแล้วก็ไม่ได้ปิดกั้นนะครับ เพราะว่ามีธุรกิจน่าสนใจเข้ามาหาอยู่ตลอดเวลา เราเลยต้องเลือกที่น่าสนใจจริงๆเท่านั้น เพราะตอนนี้คิวงานของผมก็ค่อนข้างแน่นมากๆ ถ้าจะมีโครงการใหม่ๆที่เกิดขึ้นจริงน่าจะเป็นการต่อยอดจากบริษัทเดิมที่มีอยู่มากกว่าครับ

บริหารเวลาอย่างไร ถึงทำอะไรหลายๆอย่างได้แบบนี้

จริงๆแล้วนอกจากการที่เราต้องมีระบบการทำงานที่ดี หรือเครื่องมือช่วยในการทำธุรกิจในยุคนี้อย่างเทคโนโลยีสื่อสารออนไลน์แล้ว ผมว่าก็ต้องขึ้นกับ Mindset ของเราเองนะด้วยครับ ผมขอเล่าแบบนี้ครับ คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่าๆกัน ถ้า 8 ชั่วโมงแรกมีไว้สำหรับนอน 8 ชั่วโมงต่อไปมีไว้สำหรับการทำงานหลัก เพราะฉะนั้นอีก 8 ชั่วโมงสำหรับงานอดิเรกที่เหลือนั่นแหล่ะครับ ที่ช่วยบ่งชี้ว่าคุณจะเป็นอะไร บางคนอาจจะเลือกเที่ยวพักผ่อน บางคนอาจจะเลือกเล่นกีฬา แต่สำหรับผมส่วนใหญ่เลือกจะทำธุรกิจเท่านั้นเอง

ตอนนี้ถ้าให้แนะนำธุรกิจที่น่าสนใจให้เราสักหนึ่งธุรกิจล่ะ

อันนี้เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับผมเลยนะครับ ผมไม่ขอตอบด้วยทฤษฎีล่ะกันนะครับ เพราะจริงๆแล้วประเภทธุรกิจเดียวกัน ก็มีทั้งผู้ประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น จะเปิดร้านอาหารที่ทุกคนต้องทาน ก็ไม่แน่เสมอไปที่จะมีกำไรมากกว่าการผลิตเกมส์ฆ่าเวลาราคา .99$ ให้คนโหลด ถ้าจะให้แนะนำล่ะก็ผมจะแนะนำให้ทำธุรกิจที่ตัวเองรัก และมีความสุขที่อยู่กับมันได้ทั้งแบบที่มีปัญหา และไม่มีปัญหา แล้วค่อยใส่ความตั้งใจ ความสร้างสรรค์และเป็นมืออาชีพให้กับธุรกิจดีกว่าครับ



แบบนี้ถ้าเราได้เลือกธุรกิจมาแล้ว คุณมีเทคนิคอะไรจะแนะนำเราบ้างไหม

ความต่าง คือ มาร์จิน (ผลกำไร) คุณควรที่จะหาจุดเด่น ความแตกต่างที่ดีเหนือคู่แข่งในธุรกิจของคุณให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ที่สำคัญ ถ้านี่เป็นการเริ่มต้นก้าวแรกของคุณ คุณต้องรู้จักธุรกิจของคุณทุกแง่ทุกมุมทุกแผนกชนิดที่ว่าคุณสามารถทำแทนทุกตำแหน่งได้ยิ่งดี และคุณต้องจินตนาการธุรกิจ หรือสินค้าคุณออกได้ว่ามันจะเติบโตไปในทิศทางใด เป้าหมายของมันเป็นอะไร ถึงขั้นการต่อยอด แตกกิ่งก้านกันไปเลย

แบบนี้คุณเคยประสบปัญหาในการทำงานบ้างหรือไม่

ผมว่าขึ้นชื่อว่างานคงต้องมีปัญหาแน่นอนอยู่แล้ว มันอยู่ตรงที่คุณต้องอยู่ท่ามกลางปัญหาได้โดยไม่มีปัญหา หยิบกระดาษมาแผ่นนึง แล้วลองลิสต์หัวข้อปัญหาที่เกิดขึ้น และคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นลงไปด้านซ้าย ส่วนด้านขวาก็ใส่วิธีแก้ปัญหานั้นๆดู ทำไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่ายิ่งจำนวนปัญหาในหน้ากระดาษมีมากเท่าไร ปัญหาที่เหลืออยู่ก็มีจำนวนน้อยลงเท่านั้น ทีนี้คุณจะกลัวอะไรล่ะในเมื่อปัญหาเกือบทั้งหมดนั้น คุณก็ได้เตรียมตัวรับมือด้วยวิธีที่คุณรู้มาก่อนหน้าแล้ว บางทีคุณยังมีเวลาเหลือสำหรับคิดเล่นสนุกๆเลยว่าจะมีปัญหาอะไรมาให้แก้อีกไหมหนอ

แล้วเรื่องการเมืองกับการบริหารประเทศคุณมีความเห็นในเรื่องนี้ไหม

เรื่องการเมืองค่อนข้างซับซ้อน แล้วแต่จะคิดในมุมไหน ถ้าลองคิดแบบประเทศไทยเป็นบริษัท การเมืองก็คงมีหลายแผนกทีเดียว แผนกจัดซื้อ แผนกขาย แผนกบุคคล แผนกตรวจสอบ แผนกนำเข้าส่งออกสินค้า ผู้จัดการบางคนก็ทำยอดขาย บางคนก็แสวงหากำไร บางคนก็ทะเลาะกัน บางคนก็จับมือกัน ถ้าเปรียบเราเป็นลูกค้าเราก็อยากให้พนักงานบริษัทเหล่านี้ซื่อตรง และมีปณิธาน วิสัยทัศน์ที่ดี ตั้งใจทำงานเพื่อผลิตผลแห่งความสุขในทุกๆด้านให้กับลูกค้าดั่งที่เจ้าของบริษัทต้องการ

สำหรับการเปิดประชาคมอาเซียนล่ะ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง

ผมไม่ขอตอบแบบนักวิชาการล่ะกัน สำหรับนักธุรกิจผมว่าน่าจะเป็นอะไรที่สนุกและท้าทายขึ้น  คิดง่ายๆว่าจำนวนลูกค้าจาก 60 ล้านคนเพิ่มเป็น 600 ล้านคนเราจะทำอย่างไรให้ธุรกิจของเราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านั้นได้ แน่นอนหากจะเข้าสู่ตลาดนี้เราจำเป็นต้องคิดวางแผนเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แต่สำหรับใครที่มีความคิดและการทำงานแบบ Global อยู่แล้วก็คงจะได้เปรียบกว่ามากทีเดียว ส่วนใครที่อยู่เฉยๆจำนวนลูกค้าที่มีอยู่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นลูกค้าของเพื่อนบ้านเรา เพราะฉะนั้นบางธุรกิจคงอยู่นิ่งไม่ได้แน่ จากที่คอยตั้งรับอย่างเดียวคงต้องมาวางแผนการรุกบ้างแล้ว

สุดท้ายคุณมีอะไรจะฝากถึงผู้อ่านบ้าง

If one can do , you can do สิ่งใดที่มนุษย์ทำได้ มนุษย์ย่อมทำได้ครับ


ต้น

นายสุรยุทธ วิไลลักษณ์ ประธาน บริษัท ไวต้าอีส เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจไวต้าอีส เกิดขึ้นมาประมาณ 6 เดือน โดยในวันนี้บริษัทมีความพร้อมเต็มร้อยที่จะนำพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต่อไป จึงได้จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการขึ้น เพื่อแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่ประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาต้องบอกว่าตนเองทำธุรกิจต่างๆ มามากมาย และแต่ละธุรกิจก็ล้วนประสบความสำเร็จและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจเครือข่ายไวต้าอีส จึงต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เช่นเดียวกัน?

ส่วนนโยบายที่จะสร้างความสำเร็จให้กับบริษัทนั้น นายสุรยุทธ เปิดเผยว่า เริ่มแรกเลยก็คือ ต้องสร้างความเข้าใจให้คนทั่วไปทราบก่อนว่า ไวต้าอีสคืออะไร ซึ่งตนเอง มีปรัชญาในการเริ่มก่อตั้งบริษัท คือ สร้างธุรกิจเครือข่ายแห่งไลฟ์สไตล์ ให้นักธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยไลฟ์สไตล์ของตนเอง โดยจะมีระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น สมาชิกทุกคนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อบริษัท บริษัทให้อำนาจการบริหาร และการตัดสินใจอยู่ในมือของพวกเขาเอง

ซึ่งจากปรัชญาดังกล่าว สุรยุทธ จึงเกิดแผนการตลาดในรูปแบบใหม่ โดยการดึง Partner หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจกว่า 100 บริษัท มาเข้าร่วม ตัวอย่างเช่น บริษัท CP Food, ธนาคารไทยพาณิชย์, บริษัทประกันภัย, เบตาโกร, ทรูมูฟ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยสร้างบัตร V-money ขึ้นเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ คือ ให้สมาชิกของไวต้าอีส นำเงินสดไปแลกเป็นบัตร V-money แล้วนำไปใช้กับร้านที่เข้าร่วมดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สมาชิกได้คะแนนสะสม สามารถขึ้นตำแหน่ง และลุ้นสิทธิพิเศษต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้นมากมาย นอกจากนี้ ก็ยังมีบัตร V-call ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์ของบริษัท โดยสมาชิกไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเบอร์ของตัวเอง คือใช้ การจดทะเบียน เปิด V-call เท่านี้พวกเขาก็จะได้คะแนนสะสมทุกครั้งที่ใช้โทรศัพท์

อย่างไรก็ดี ไวต้าอีสเองก็มีผลิตภัณฑ์คุณภาพ ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทหลายชนิด เช่นกัน โดยเป็นสินค้าที่นำเข้าจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลิตจากโรงงานซึ่งเป็นของบริษัท Partner โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนธุรกิจ มีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ 1.ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ และ 2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ บริษัทจะเน้นสินค้าทางนวัตกรรม ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักที่มีอยู่ในขณะนี้ คือ เซรั่มบำรุงผิวหน้า แบ่งตามกรุ๊ปเลือด เพื่อประสิทธิภาพในการบำรุงผิว นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์สเติมม์เซลล์ สกัดมาจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ กุหลาบพันปี, แอปเปิลเขียว และสาหร่ายทะเล ซึ่งตนมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสามารถสร้างเครือข่ายสมาชิกในกลุ่มผู้หญิงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน?
ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเสริมอาหาร ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่เรียกว่า Oryz โดยเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณสมบัติ ช่วยปรับสมดุลเคมีในร่างกาย ลดความเครียด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ, ความดัน, เบาหวาน ฯลฯ ซึ่งหลังจากบริษัทก่อตั้งมาประมาณ 6 เดือน ปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้สามารถสร้างยอดขายให้ ไวต้าอีส ถึง 30 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ตนได้กำหนดกลยุทธ์ การตลาด เพื่อสร้างยอดขายในผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มดังกล่าวให้มีสัดส่วนเท่าๆ กัน ทั้งนี้คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้บริษัทจะผลิตและนำเข้าสินค้าให้ครบ 10 รายการ


Credit : นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1288


"อิสริยะ คูหาเปรมกิจ" หัวเรือ"รอยัล มอเตอร์ส"



ทุกวันนี้ค่ายผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ (เกรย์ มาร์เก็ต) ในบ้านเรา จะเพิ่มจำนวนจนขนาดที่ว่าดอกเห็ดยังต้องอาย ไม่แน่ใจว่าเป็นแฟชั่นหรืออย่างไร

แต่ค่ายหนึ่งซึ่งเป็นน้องใหม่เปิดตัวมาไม่นานเมื่อปลายปีที่แล้ว อย่างบริษัท รอยัล มอเตอร์ส จำกัด ที่มี "อิสริยะ คูหาเปรมกิจ" นั่งแป้นในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร และผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ทำตามแฟชั่น เพราะว่ามาด้วยใจรักล้วนๆ

- จุดเริ่มต้นนำเข้ารถยนต์อิสระ

จริงๆ แล้วเราอยู่เบื้องหลังการนำเข้ารถยนต์ให้กับทั้งเกรย์รายอื่นรวมถึงลูกค้า ที่มีความใกล้ชิดกันมาประมาณ 2-3 ปี ส่วนใหญ่ให้ความไว้วางใจ เพราะเห็นว่าเรามีความเชี่ยวชาญ และเป็นคนเล่นรถมานาน ในที่สุดเลยตกลงใจทำเป็นรูปธุรกิจจริงจัง เพราะมองเห็นโอกาสเติบโตสูง โดยได้ที่บนถ.เพชรบุรีตัดใหม่เนื้อที่กว่า 4 ไร่ เป็นโชว์รูม และศูนย์บริการ 8 ช่องซ่อม ใช้งบประมาณในการลงทุน รวมสต๊อกอะไหล่ 500 ล้านบาท

- วางกลยุทธ์การตลาดอย่างไร

เราค่อนข้างแตกต่างจากที่อื่น เพราะมีรถในทุกเซ็กเมนต์ ทุกค่าย ตั้งแต่รถสปอร์ต รถขนาดเล็ก รถครอบครัว เอสยูวี เอ็มพีวี ราคาตั้งแต่ 2.5-25 ล้านบาท ทำให้ครอบคลุมความต้อง การของลูกค้าได้ครบ เปิดตัวบริษัทมาไม่ถึงครึ่งปี มียอดขายไปแล้วประ มาณ 100 คัน
- ล่าสุดเป็นตัวแทนซูเปอร์คาร์

เป็นรถของค่าย RUF หลาย คนอาจจะงงว่าไม่เคยได้ยินรถยนต์ แบรนด์นี้ ต้องอธิบายก่อนว่า RUF คือค่ายรถยนต์ ที่ไปซื้อแชสซี และเครื่องยนต์ ที่ไม่ได้ตอกเลข มาจากปอร์เช่ แล้วนำมาพัฒนาแต่งใหม่ให้เป็นรถซูเปอร์ คาร์สไตล์ RUF ที่นอกจากความแรงแล้วยังสามารถขับใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ต่างจาก ซูเปอร์คาร์ทั่วไปที่ต้องใช้ความชำนาญในการขับค่อนข้างมาก RUF มีประวัติศาสตร์ในวงการรถยนต์ที่เยอรมัน มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปีค.ศ.1981 และในปี 1987 เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกมาแล้ว ชื่อเสียงจึงรับประกันได้

- วางแผน RUF อย่างไร

RUF อาจจะใหม่กับคนไทย แต่มีแฟนพันธุ์แท้ที่รอคอยอยู่เหมือนกัน ล่าสุดนำ RUF 987 ที่วางเครื่องยนต์ 2,900 ซีซี 218 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท กับ RUF Rt 12S เครื่องยนต์ 6 สูบ 3800 ซีซี 685 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุด 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท มาเป็นไฮไลต์กับลูกค้า ยังมีแผนในการนำรถเอสยูวี ของ RUF มาจำหน่ายปลายปีนี้ด้วย

- ตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้

จากยอดขายที่ทำได้ในช่วงที่ผ่านมา มั่นใจว่าถึงสิ้นปีนี้จะมียอดขายรวม 300 คันได้ไม่ยาก โดยในส่วนนี้ตั้งเป้าที่จะเป็น RUF ไว้ที่ 20-30 คัน ลูกค้าของบริษัทส่วนหนึ่งมาจากฐานลูกค้าธุรกิจเดิมที่บริษัทดำเนินอยู่คือธุรกิจทองคำ และหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมาก อีกทั้งไม่ได้รับผลกระทบกับปัญหาเศรษฐกิจ และการเมืองแต่อย่างใด

Credit : ข่าวสด

“คุณวิน-วีร์กฤติ ว่องวัฒนะสิน” ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์



วันนี้เราจะพาสาวๆ มาพูดคุยกับนักธุรกิจรูปหล่อ “คุณวิน-วีร์กฤติ ว่องวัฒนะสิน” Marketing Manager แห่งแบรนด์ MOTIF ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ ถึงแม้ภาพแรกที่เราได้เห็นคุณวินจากภายนอก เขาอาจจะมองดูเป็นชายหนุ่มมาดนิ่งที่เข้าถึงยาก แต่ถ้าหากใครได้มีโอกาสสัมผัสกับเขาจริงๆ แล้ว จะรู้เลยว่าเป็นหนุ่มช่างคิดและมีเสน่ห์ไม่แพ้ใครๆ เลยละค่ะ ว่าแล้วเราลองไปรู้จักกับอีกด้านหนึ่งในมุมสบายๆ ของเขากันดีกว่าค่ะ
My Profile
“ปัจจุบันผมเป็น Marketing Manager ร้านนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ MOTIF แล้วก็เป็นหุ้นส่วนกับน้องชาย (ธีร์รัฐ ว่องวัฒนะสิน) เปิดร้านเสื้อผ้า Vickteerut ซึ่งน้องชายผมเป็นดีไซน์เนอร์ออกแบบเอง ส่วนผมจะดูในเรื่องของภาพรวมทางการตลาด และด้านตัวเลขมากกว่าครับ” 
I’m what I’m : มองตัวตนของคุณเป็นอย่างไร
“ผมเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก ผมจะดูเป็นคนที่ค่อนข้างพูดน้อย และอาจจะต้องใช้เวลานิดหนึ่งสำหรับการทำความคุ้นเคยกับคนใหม่ๆ เพราะบางทีเรายังวางตัวไม่ถูกว่าควรจะพูดยังไงกับเขา แต่ถ้าสนิทแล้วก็เป็นคนชอบความสนุกสนาน เฮฮาครับ”
My Style : สไตล์ส่วนตัว
ทั้งสไตล์ส่วนตัวในเรื่องของการแต่งกาย หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกงานออกแบบ อย่างการเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาในร้านของผมแล้ว ผมชอบความเรียบง่าย ที่สามารถผสมผสานกับการใช้ชีวิตได้ดี การแต่งตัวจะเป็นสไตล์เรียบๆ คุมโทน ส่วนใหญ่จะเห็นว่าผมใส่อยู่ไม่กี่สี เช่น สีเบจ สีเทา สีดำ สีขาว และสีน้ำเงินเข้ม ส่วนการเลือกเฟอร์นิเจอร์ผมจะชอบแนว contemporary เพราะว่าค่อนข้างจะใช้งานได้ง่าย ไม่ดูหวือหวาจนเกินไป”
My Idol : บุคคลที่เป็นไอดอลในดวงใจ
คุณพ่อและคุณแม่ เพราะเป็นคนที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆ ท่านจึงเป็นคนที่สอนหลายๆ อย่างให้กับผมมาตลอด ทั้งการใช้ชีวิต วิธีการทำงาน วิธีการคิด ซึ่งผมก็ได้นำคำสอนเหล่านั้นมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ท่านทำอะไรผิดพลาดมา ก็จะนำมาเล่าให้ฟัง เพื่อให้ผมได้รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี”