กระแสมหาเศรษฐีอายุน้อย (Young Millionaire) กำลังเป็นเทรนด์ร้อนแรงทั่วโลก ด้วยหากลองหยิบทำเนียบมหาเศรษฐีประเทศต่าง ๆ ขึ้นมาดูจะเริ่มเห็นกลุ่มยังบลัดผุดขึ้นมาไม่น้อยเมืองไทยเองก็เช่นกัน ถ้าไม่นับนามสกุลระดับเจ้าสัวแล้ว ชื่อของ "ณกรณ์ กรณ์หิรัญ" กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นนามหนึ่งที่ฉายแววเด่นอย่างน่าจับตาณกรณ์ในวัย 35 ปี คือหนึ่งในหุ้นส่วนคลินิกความงาม "วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก" ที่นำพาธุรกิจให้ก้าวสู่หลักหลายพันล้านภายในเวลา 11 ปี แผ่ขยายอาณาจักรมากถึง 100 กว่า สาขา และจะมุ่งสู่ 115 สาขาทั่วประเทศในสิ้นปีนี้ รวมถึงยังไปโตในลาวอีก 3 สาขา ซึ่งจะขยายเป็น 5 สาขาในสิ้นปีเช่นกันช่วงที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนี้กลายเป็นดาวเด่นที่เนื้อหอมที่สุด ทั้งมีคิวเดินสายบรรยายความสำเร็จ เปิดตัวให้สัมภาษณ์ในฐานะนักธุรกิจ และนักธุรกิจกึ่งดาราที่มีข่าวคราวมากที่สุด คนหนึ่ง
"วุฒิ-ศักดิ์ ดังอย่างไร ผู้บริหารก็ดังแบบนั้นแหละ (หัวเราะ) ผมพยายาม พี.อาร์.ตัวเองนิดหนึ่ง เราอยู่มา 11 ปี ตอนนี้กฎหมายแพทย์เปลี่ยน เราต้องใช้ผู้บริหารออกหน้า เลย พี.อาร์.เต็มที่ ธรรมดานะหรือ ? จะอยู่หลังฉากกันหมด"...เรื่องข่าวแนวกอสซิปผมไม่คิดว่าต้องซีเรียสนะ คือเราต้องเข้าใจเนเจอร์ของวงการ ซึ่งมีสองอย่าง ถ้าในฐานะนักธุรกิจอย่างเดียว คนจะไม่ พี.อาร์.ให้เรา แต่ถ้ารู้จักในนามกึ่งดาราข่าวจะมีทั้งลบและบวก เป็นกระแสเท่านั้นเอง คิดในทางที่ดี แสดงว่าหน้าตาเรายังขายได้ (ยิ้ม)
ความหล่อสไตล์หนุ่มเกาหลีของเขาอาจไม่น่าสนใจเลย หากธุรกิจที่เขาปลุกปั้นไม่ได้มีการเติบโตถึงระดับหลายพันล้าน
"เราโตมาจากธุรกิจเล็ก ๆ เลยทำอะไรอย่างรอบคอบเสมอ อย่างตึกนี้ (อาคารสำนักงานแถวแคราย) เราเพิ่งสร้าง ที่ดิน ซื้อไว้สองปีแล้วกู้มา 70 ล้านบาท แต่ระหว่างการสร้างตึกยังไม่ทันเสร็จ เมษายนที่ผ่านมาเราก็ตัดหมดเลย"...เราโชคดีที่ปีก่อน ได้เห็นวิกฤตว่าเป็นอย่างไร ผมชอบจดจำประสบการณ์ของตนเอง และคนอื่น ตอนนั้นผมอายุ 21 ผมเล่นหุ้น เมื่อก่อนรายได้ดี หุ้นขึ้นทีร้อยจุด แต่พอวิกฤต เงินเราหายหมดเลย เหลือ 1 สตางค์ ล้มระเนระนาด ซึ่งเป็นบทเรียนที่ผมจำไม่ลืม และทำให้ผมต้องรอบคอบทุกอย่าง"ผมเป็นคนสนใจตัวเลข ชอบทุกอาชีพที่ทำแล้วแฮปปี้ ตอนเศรษฐกิจตกผมไม่มีเงิน เคยขายลูกชิ้นริมถนนมาแล้ว จากนั้นก็เป็นเซลส์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า หาช่องว่างทำกำไรเยอะ ๆ ด้วยการขายเงินผ่อน จากร้านเล็ก ๆ ไม่มีหน้าร้าน ก็เริ่มเช่าตึกแถว มีเงินก็ไปซื้อโฆษณา 2,000 กว่าบาทลงหนังสือพิมพ์รายวัน คนโทร.มาเยอะมาก ช่วงนั้นผมอายุ 22-23 ปี ทำธุรกิจได้กำไรเดือนละหลายแสน เป็นช่วงตั้งตัวของผมเลยนะ"
และในช่วงตั้งตัวนี่เองที่ทำให้ธุรกิจที่ชื่อ วุฒิ-ศักดิ์ คลินิกเกิดขึ้น โดยเริ่มลงทุนจากเงิน 5 แสนบาท กับ 3 หุ้นส่วน (คุณหมอ, สถาปนิก และนักธุรกิจ)
"ผมไปกินข้าวกับเพื่อน คนหนึ่งเป็นหมอ (น.พ.วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช) อีกคนเป็นสถาปนิก (พลภัทร จันทรวิเมลือง) คนเป็นสถาปนิกไม่กล้าลงทุนทำธุรกิจ แต่เรามีสายเลือดนักธุรกิจตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ทุกอย่างไม่มีคำว่ากลัว เราคิดว่า...ลอง เล่น ๆ ก็แล้วกัน ทำสัก 5 แสน ลงทุนก่อนไปจดชื่อบริษัท โดย ชื่อ วุฒิ-ศักดิ์ ซึ่งเป็นชื่อคุณหมอ โดยชื่อเราต้องมีขีดด้วย เพื่อป้องกันการเกิดมีหมอชื่อซ้ำกัน"...เปิดร้านเสร็จ ตอนแรกคิดว่าปีหนึ่งน่าจะเปิดสัก 2 สาขา พอเปิดร้านได้เดือนครึ่งจึงต้องหาสาขาสอง ตอนนั้นเงินมีไม่มาก แต่มองทำเลแถวปิ่นเกล้า เรายอมจ่ายมัดจำเยอะมาก แถมต้องมีเงื่อนไขเปิดร้านภายใน 7 วัน หุ้นส่วนบอกเป็นไปไม่ได้ แต่เราบอกเป็นไปได้ แล้วก็เป็นไปได้จริงๆ
หลังจากนั้น วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก ภายใต้การนำทัพของเขาจึงเริ่มขยายตัวอย่างพุ่งทะยาน
"ผมไม่ได้คิดว่าต้องมีถึง 100 กว่าสาขาอย่างทุกวันนี้นะ ผมคิดแค่ว่าทำไปเรื่อย ๆ หุ้นส่วนผมจะหยุดตั้งแต่ 10 กว่าสาขาแล้ว แต่ผมดันให้เปิดต่อ ผมแนะให้ปรับระบบให้มีบอร์ดหมอ มีอาจารย์หมอมาเทรน จากนั้นจัดระบบให้สถาปนิก ส่วนผมดูภาพรวม ดูการเงิน อย่างบัตรเครดิตผมเป็นเจ้าแรกที่ผ่อน 0 เปอร์เซ็นต์"ความเป็นคนไม่หยุดนิ่งของณกรณ์ทำให้เขาขยันหาอาหารสมองมาเสริมเพิ่มเติมให้กับตัวเอง...ชีวิตผมเรียนได้แค่ปีสาม แล้วผมไม่ได้เรียนต่อ หลังจากที่บ้านมีปัญหาการเงิน ผมอาศัยเอาความรู้ที่เรียนด้านการเงินมาใช้ แล้วสังเกตจากสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตลาด การเงิน อ่านหนังสือพิมพ์ สังเกตจากธุรกิจ อย่างป้ายสวย ๆ เราจะสังเกตแล้วเปรียบเทียบ ธุรกิจไหนมาแรง จะนำมาวิเคราะห์เรื่องคีย์ซักเซส อย่างกินอาหารที่ฟูจิ เราเห็นว่าทำไมเขามีห้องไพรเวต แล้วทำไมห้องทำหน้าของเราจะไพรเวตบ้างไม่ได้ ผมชอบตั้งคำถามเสมอว่า ทำไม ?
"ผมคิดว่าทุกอย่างเป็นการลอง มีพลาดบ้างเหมือนกัน(หัวเราะ) ไม่มีใครหรอกที่ทำร้อยอย่าง ถูกร้อยอย่าง อย่าไปคิดว่าพลาดแล้วอย่าทำอีก!ต้องคิดว่าพลาดแล้วเป็นครู ถ้ารู้สึกพลาดต้องถามตัวเองว่าผิดพลาดอย่างไรเพื่อหาทางแก้ให้ได้"
บทเรียนนอกห้องจึงกลายเป็นคีย์ซักเซสของเขาในการทำธุรกิจพันล้าน !
"ผมจะศึกษาแต่ละคนที่มีธุรกิจหลักพันล้านตลอดนะ ศึกษาจนพบว่าคนเหล่านี้มีนิสัยเหมือนกันคือ แต่ละคนจะไม่อยู่นิ่ง ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้เงิน แต่เขาสนุกกับงานมากกว่า ประกอบกับผมเองเป็นคนไฮเปอร์ อยู่นิ่ง ๆ ทำงานแบบรูทีนไม่ได้เลย ผมจึงคิดอะไรใหม่ ๆ ทุกเดือน ตัวเราไม่เคยเหนื่อย แต่รอบตัวเราเหนื่อย (หัวเราะ) ยิ่งพอเจอปัญหา เราต้องแก้ปัญหา และเราพยายามคิดเสมอว่า ถ้าเป็นคลินิกอื่นที่คิดจะชนเรา เขาจะชนเราด้วยอะไร เราก็พยายามอุดช่องว่างนั้นให้หมด"
...ถ้าเราอยู่นิ่ง เราก็ช้ากว่าชาวบ้านแล้ว !
"อย่างเรื่องหมอที่เป็นบุคลากรสำคัญ เราใช้วิธีการดึงจากอเมริกันบอร์ดมาสอนในเมืองไทย คอร์สละ 30 คน คนละ 2-3 แสนกว่า เราจ่ายครึ่งหนึ่งให้ เท่านี้หมอไม่ออก เราต้องหาช่องว่างให้เจอแล้วอุดมัน ว่าไปธุรกิจผมเริ่มจากความกลัวเหมือนกันนะ แต่ความกลัวของผม ผมกลัวแบบไม่หนี ผมจะรู้ว่าผมกลัวอะไร ยอมรับว่าองค์กรใหญ่ขึ้นแล้ว ถ้าเรามัวแต่นั่งโต๊ะทุกวัน เราจะมองไม่เห็นปัญหาผมอยู่โต๊ะทำงานจริง ๆ แค่ 2 วันต่อสัปดาห์ นอกนั้นออกไปต่างจังหวัด ไปหาไอเดียใหม่ ๆ"
...ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีวันนี้ หรือธุรกิจต้องกำไรเท่านี้ ๆ ถึงจะมีความสุข ผมแค่คิดว่า เราทำธุรกิจแบบประคองให้อยู่ได้ และเป็นเบอร์หนึ่งให้ได้ก็พอ"ความสุขของเขาจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของธุรกิจหลายพันล้าน แต่อยู่ที่การไม่เคยหยุดคิด ไม่เคยหยุดนิ่ง"ชีวิตผมมีแต่เรื่องงาน บางคนบอกว่า คนเราต้องคิด สามอย่าง การงาน ครอบครัว ความรัก แต่โมเดลผม เน้นเรื่องงานซะเยอะ ครอบครัวก็มีให้อยู่แล้ว ส่วนความรักใช้เหตุผล ไม่ได้ เจ๊งทุกที เลยไม่คาดหวัง แต่ผมก็มีวันพักผ่อนนะ นั่นคือการ ไปพักผ่อนที่เชียงใหม่ ใช้ชีวิตสบาย ๆ ใส่กางเกงยีน เสื้อยืด ขับรถสปอร์ตเที่ยวเล่นไปดูที่ดินเพื่อซื้อเก็บ หรือตระเวนทำบุญตามวัดต่าง ๆ ให้สบายใจ"
Credit : ประชาชาติธุรกิจ